“…อดีตอันหอมหวานไม่ได้การันตีปัจจุบันอันหอมหวนเสมอไป”
ประโยคที่ภูมิชาย บุญสินสุขได้เขียนบอกไว้ในหน้าคำนำของหนังสือเรื่อง “Turning Thirty ปีนี้ไม่อยากโสด” เป็นประโยคที่ใช้นิยามหนังสือเล่มนี้ได้ตรงใจที่สุด และยังเป็นประโยคชวนสะกิดใจให้เรากลับมาย้อนมองตัวเองอีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเรามีอายุใกล้วัย 30 ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
หลายคนบอกว่า ‘อายุเป็นแค่ตัวเลข’ แต่เราต่างรู้ดีว่าอายุนั้นมีความสำคัญมากกว่าตัวเลข เพราะอายุก็เปรียบเสมือนหลักกิโลเมตร ซึ่งคอยบอกระยะทางที่เราได้ก้าวเดินบนถนนสายชีวิต แม้เราไม่อยากจะใส่ใจตัวเลขนั้น แต่สุดท้ายมันก็อดให้ความสำคัญไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นหากเรากำลังก้าวย่างจากเลขสองสู่เลขสาม เราควรหยุดวิ่งเพื่อทบทวนสิ่งที่ผ่านมาและมองหาอนาคตอีกครั้ง เหมือนกับชายคนนี้ “แมท เบคฟอร์ด”
แมท เบคฟอร์ค คือตัวละครหลักที่ดำเนินเรื่องในหนังสือ Turning Thirty ปีนี้ไม่อยากโสด และเขาก็เป็นชายหนุ่มที่กำลังจะย่างก้าวเข้าสู่วัย 30 ในอีก 6 เดือนข้างหน้า แน่นอนว่าเขายังเป็นชายหนุ่มผู้ครุ่นคิดกับชีวิตจนเกินความจำเป็นดังที่ a book ได้บอกไว้บนปกหนังสือ และในมุมมองของเรา การครุ่นคิดที่เกินจำเป็นนี้ได้กลายเป็นเรื่องดีๆ ที่ชวนให้เราสะกิดใจและหันกลับมาครุ่นคิดเรื่องราวในชีวิตจริงของเราบ้าง
…การย่างเข้าสู่วัยสามสิบนั้นเป็นเหมือนการบังคับให้คุณต้องยอมรับว่า บางสิ่งบางอย่างและฝันบางฝันนั้น คงไม่มีวันจะเป็นจริงขึ้นมาได้ – หน้า 477
หลายคนย่างก้าวเข้าสู่วัย 30 ด้วยความรู้สึกที่ว่าวันนั้นก็เป็นแค่วันเกิดเหมือนปีที่ผ่านๆ มา แต่เราแน่ใจว่าหลังจากที่คุณได้อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะเกิดอาการวิตกกังวลถึงปีที่ 30 ทันที นั่นเพราะแมท เบคฟอร์คได้ชวนให้คนใกล้ 30 ได้ย้อนมองตัวเองว่า วันเกิดปีที่ 30 นี้ เราได้ทำตามเป้าหมายที่วางไว้หรือยัง รวมทั้งคำถามที่ว่า 30 แล้วเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนให้ชีวิตหรือยัง เพราะอายุ 30 ก็เปรียบเสมือนเส้นชัยบนถนนสายชีวิต จึงไม่แปลกหากหลายคนมักทำฝันให้เป็นจริงในช่วงอายุก่อน 30
แมท เบคฟอร์คได้ตั้งเป้าหมายในวัย 30 ของเขาไว้สองเรื่องคือ ‘หน้าที่การงาน’ ที่เขาสามารถก้าวเดินจนใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ได้มากที่สุด และเรื่อง ‘ความรัก’ ที่เขากลับล้มเหลว จนเขาต้องเก็บข้าวเก็บของย้ายจากนิวยอร์กกลับไปยังบ้านเกิดที่อังกฤษ และที่บ้านเกิดแห่งนี้นี่เองที่ทำให้เขาได้เห็นว่า คนเราไม่อาจได้ทุกสิ่งที่หวังและฝันไว้เสมอไป เพราะชีวิตมีตัวแปรมากมายเกินกว่าที่เราจะควบคุม
แม้จะเหลือเวลาอีกเพียง 6 เดือนที่แมท เบคฟอร์คจะมีอายุครบ 30 แต่ช่วงเวลา 6 เดือนนี้เขาก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะทำให้เป้าหมายเรื่องความรักให้บรรลุ ซึ่งประเด็นนี้ถือว่าเป็นมุมมองดีๆ ที่ทำให้เราเกิดแรงฮึดสู้ เพื่อทำฝันให้เป็นจริงแทนที่จะมานั่งโอดครวญว่าไม่ทันแล้ว แต่การเร่งทำฝันให้เป็นจริงก็ใช่ว่าจะเป็นข้อดีเสมอไป เพราะบางครั้งการเร่งรีบตามฝัน โดยที่รากฐานยังไม่มั่นคงก็อาจทำให้ฝันนั้นถล่มลงมาได้
“…เวลาล่วงเลยมาถึงวัยเท่าพวกเรานี่… ถึงได้รู้ตัวว่า สิ่งที่สูญเสียไปมันสำคัญแค่ไหน” – หน้า 196
อย่าให้ความรู้สึกสูญเสียเกิดขึ้นกับเรา เพียงเพราะเราปล่อยให้เวลาล่วงเลยไป เป็นอีกประเด็นที่หนังสือ Turning Thirty ปีนี้ไม่อยากโสดได้พูดเอาไว้ หลายคนที่มีความฝัน แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังไม่ขยับก้าวเดิน เพราะเรามัวแต่คิดว่ายังมีเวลาอีกเยอะที่จะทำฝันนั้นให้เป็นจริง บางคนมัวแต่แวะเที่ยวเล่นตามรายทาง กว่าจะรู้ตัวก็มองไม่เห็นเส้นชัยนั้นแล้ว แต่ก็มีอีกหลายคนที่พยายามวิ่งตามฝันจนเหนื่อยล้า แต่กลับเพิ่งมารู้ว่าเส้นทางนั้นไม่มีเส้นชัย แต่ไม่ว่าคุณจะอืดอาดไม่ขยับทำตามฝัน หรือมุมานะวิ่งตามฝันนั้น แม้จะรู้ว่าไม่อาจถึงเส้นชัย ก็ไม่ทำให้เราเจ็บปวดเท่ากับคนไร้ฝันที่ไม่อาจมองเห็นเส้นทางในอนาคต
นอกจากการสื่อให้คนอ่านอย่างเราได้ตระหนักถึงเป้าหมายในชีวิตและการเร่งทำให้เป้าหมายนั้นให้เป็นจริงแล้ว แมท เบคฟอร์ค ยังทำให้เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิตที่ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นหากเราตั้งมั่นว่าจะทำอะไรแล้วก็จงรีบทำทันที เพราะหากไม่ลงมือทำในวันนี้ คุณอาจไม่มีโอกาสได้ทำอีกเลย
…ครึ่งหนึ่งของความผิดหวังในชีวิตของฉันมาจากความจริงที่ว่า สิ่งที่เคยจินตนาการเอาไว้ว่าจะมีหรือจะเป็นตอนอายุสามสิบกับความเป็นจริงนั้น มันไม่ใกล้เคียงกันเลย – หน้า 359
หนังสือ : Turning Thirty ปีนี้ไม่อยากโสด
โดย : Mike Gayle
แปล : ภูมิชาย บุญสินสุข
สำนักพิมพ์ : a book
ราคา : 385 บาท
SHOP NOW : www.godaypoets.com/turningthirty