สัมผัสความนุ่มลึกของกาแฟผ่าน Bangkok Espresso Bar
ล้วงลึกความอร่อยของกาแฟจาก Bangkok Espresso Bar ที่มีจุดเริ่มต้นจากคีออสเล็กข้างทาง จนตอนนี้ขยับขยายพื้นที่เป็นคาเฟ่เต็มตัว โดยยังคงคุณภาพกาแฟในราคาไม่แพง พร้อมเสิร์ฟให้ลูกค้าได้ลิ้มลองในทุกเช้าก่อนทำงานด้วยคอนเซ็ปต์ Grab & Go
5 ปีแห่งการเติบโตที่มีแต่จะพัฒนาความอร่อยของกาแฟจนในที่สุด Bangkok Espresso Bar ก็ขยับขยายพื้นที่จาก Kiosk หนึ่งห้องเล็กๆ มาเป็นร้านกาแฟอย่างเต็มตัว แต่ยังคงปักหมุดในย่านเดิม พร้อมทั้งยังคงคอนเซ็ปต์และลูกค้ากลุ่มเดิมจึงไม่แปลก หากตลอดเวลาที่เราไปเยือนคาเฟ่แห่งนี้จะเห็นลูกค้าเดินเข้าออกร้านไม่ขาดสาย และนี่ก็เป็นเครื่องการันตีความอร่อยของร้านนี้ได้เป็นอย่างดี
“มันเริ่มมาจากเราชอบกิน พอเราชอบกินเราก็ชอบทำ มันจะมีความชอบทำไปเรื่อยๆ จนเราเริ่มอยากทำลาเต้อาร์ตได้ เราก็ไปฝึกลาเต้อาร์ต ฝึกชิมกาแฟ ฝึกคั่วกาแฟ ฝึกจนตอนนี้สุดท้ายผมก็ไปคั่วกาแฟเป็นหลัก” หมี – วีระชัย มานะชัย บอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นเมื่อ 5 ปีก่อนของการเปิดร้านกาแฟชื่อนี้ และเพราะความชอบนี้เองจึงเป็นแรงผลักดันให้ร้านกาแฟเล็กๆ ประสบความสำเร็จ
Bangkok Espresso Bar รูปลักษณ์ใหม่มาในมาดเท่สไตล์ลอฟท์ หน้าร้านโดดเด่นด้วยแผ่นเหล็กฉลุชื่อร้านสีสนิม เข้ากันได้ดีกับโครงประตูเหล็กสีดำ เพราะพื้นที่ร้านมีขนาดไม่ใหญ่จึงเลือกติดกระจกแทนผนังทึบช่วยให้ร้านโปร่ง เมื่อเข้าไปในร้านจะสะดุดตากับเคาน์เตอร์เครื่องดื่มขนาดใหญ่ มุมหนึ่งของร้านจัดวางโซฟานั่งสบาย ขณะที่อีกมุมก็ออกแบบเป็นโต๊ะเคาน์เตอร์บาร์ให้ลูกค้าได้นั่งพักระหว่างรอ โดย Bangkok Espresso Bar ยังคงคอนเซ็ปต์ “Grab & Go” ที่ให้ลูกค้าได้แวะมาซื้อก่อนเข้าทำงาน
แต่จุดเด่นของที่นี่คงหนีไม่พ้นกาแฟที่พิถีพิถันตั้งแต่ต้นทางด้วยการไปคัดเมล็ดกาแฟไทยจากไร่บนดอยขุนช้างเคี่ยน จังหวัดเชียงใหม่ จนกระทั่งคั่วเมล็ดกาแฟเอง “เราใช้กาแฟอาราบิก้า 100% แบบ single origin แล้วเราก็ขายในราคาที่ไม่แพงมาก เพราะว่าร้านผมคั่วกาแฟเอง แล้วเราก็โตมาจากทางจริงๆ เพราะฉะนั้นลูกค้าประจำส่วนใหญ่ก็จะเป็นพนักงานออฟฟิศเป็นหลัก
เมล็ดกาแฟเราคั่วเอง เพราะกาแฟอาราบิก้าแต่ละตัว ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นกาแฟที่มีบอดี้มากทุกตัว เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกกาแฟที่มันตรงคาแรคเตอร์กับเรา ตรงกับรสชาติที่เราต้องการ มันก็ค่อนข้างที่จะยาก แล้วมันก็มีเรื่องของการสต๊อก พวกเมล็ดกาแฟดิบ กาแฟของผมเป็นกาแฟที่เก็บเมล็ดไว้ประมาณปีครึ่ง จะไม่ได้เป็นกาแฟที่เก็บมาใหม่ๆ แล้วคั่วเลย พวกนั้นรสชาติยังไม่ค่อยโอเคเท่าไร เพราะจริงๆ มันต้องบ่มไว้ประมาณ 8 เดือนถึง 1 ปีเป็นอย่างน้อยรสชาติถึงจะโอเค เพราะฉะนั้นกาแฟที่เราหามา มันเป็นกาแฟที่ดีจริงๆ รสชาติค่อนข้างที่จะเข้มและหอม คือเราให้ความสำคัญกับวัตถุดิบตั้งแต่ต้นทางเลย”
ไม่เพียงแต่การใส่ใจตั้งแต่ต้นทางเท่านั้นที่ทำให้กาแฟของที่นี่มีรสชาติดีจนมีลูกค้าประจำไม่ขาดสาย แต่ Bangkok Espresso Bar ยังมีวิธีการชงพิเศษที่ทำให้กาแฟมีรสนุ่มลึกอีกด้วย “เมนูพิเศษจะเป็น Shakerato คือเราเอากาแฟมาเชคให้มันกระแทกกัน ซึ่งทำให้รสชาติกาแฟนุ่มขึ้นชัดเจน อย่างที่ร้านจะมีเมนูไม่กี่อย่าง แต่รสชาติจะต่างกันทุกตัว ทั้งลาเต้ คาปูชิโน หรือเอสเปรสโซ่เย็น คือกินเข้าไปก็จะได้ความเข้มของกาแฟมาก่อน แล้วก็ตามด้วยความหอม แต่ถ้าเป็นคาปูชิโน ความรู้สึกแรกมันจะนุ่ม กลมกล่อม กินง่ายๆ แต่ถ้าลาเต้มันก็ไม่ได้เข้มมาก กาแฟกับนมจะมาพร้อมๆ กัน”
โดยเมนูพิเศษนี้มีให้เลือกชิม 3 ตัวหลักๆ นั่นคือ Espresso Shakerato กาแฟดำที่ทางร้านนำมาเชคจนเกิดฟองให้รสชาตินุ่มลิ้นกว่าเอสเปรสโซ่ทั่วไป Capuccino Shakerato คาปูชิโนที่โดยปกติจะมีฟองนุ่มๆ ท็อปอยู่ด้านบน แต่ของที่นี่กลับใช้ฟองจากกาแฟซึ่งได้จากการเชคแทน
Marocchino Shakerato เมนูไฮไลท์ของร้าน เป็นเมนูที่ครีเอทขึ้นจากการผสมผสานม็อคค่ากับคาปูชิโน่เข้าด้วยกัน แต่จะให้รสชาติต่างจากม็อคค่าเล็กน้อย อย่าง Iced Marocchino Shakerato ให้รสโกโก้นุ่มๆ ขณะเดียวกันก็ได้ความหอมของกาแฟ ขณะที่ Hot Marocchino Shakerato จะเติมความอร่อยของซอสช็อกโกแลตอยู่ด้านล่าง เวลาดื่มหมดแก้วเราสามารถตักช็อกโกแลตขึ้นมาทานได้ด้วย
แม้ Bangkok Espresso Bar จะใช้เมล็ดกาแฟไทยเป็นหลัก แต่ทางร้านยังมีเมล็ดกาแฟพิเศษที่จะหมุนเวียนในแต่ละสัปดาห์มาให้ชิมอีกด้วย โดยมีทั้งเมล็ดกาแฟนอกและเมล็ดกาแฟไทยพิเศษ อย่างช่วงที่เราไปเยือนมี Ethiopia และ Brazil Chocola เป็น single origin เมล็ดกาแฟนอก ส่วนเมล็ดกาแฟไทยตัวพิเศษเป็น Drima Zede ที่คุณหมีประมูลได้และอยากให้ลูกค้าได้ลิ้มลอง อีกทั้งยังมีกาแฟ Cold Brew ให้เราได้เลือกทานอีกด้วย ปิดท้ายด้วยเบเกอรี่โฮมเมดที่คุณหมีทำเองอย่าง ‘ครัวซองต์’ ทานคู่กับกาแฟยามเช้า ซึ่งคุณหมีจะอบกันแบบวันต่อวันและมีจำนวนไม่มาก หลายคนจึงอาจไม่เคยลิ้มลอง เพราะจะหมดตั้งแต่เช้า
“คอนเซ็ปต์เรายังไม่เปลี่ยน เรายังอยากทำเป็น Grab & Go อยู่เหมือนเดิม แต่เราก็มีที่นั่งให้ลูกค้าระหว่างรอ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแบบเป็นเข้ามาซื้อและออกเลย เราก็ยังตั้งใจว่ากลุ่มหลักๆ ก็เป็นออฟฟิศอยู่เหมือนเดิม เพราะว่าเขาซื้อเราทุกวัน เขาดื่มเราได้ทุกวัน หรือวันเสาร์-อาทิตย์ ลูกค้าย่านนี้ก็สามารถตื่นมาแล้วมาดื่มกาแฟที่ราคาไม่แพงแถวนี้ได้ เป้าหมายของเราคือ ต้องการให้เขามาซื้อเราทุกวัน ราคาเลยไม่ได้แพงมาก”
Bangkok Espresso Bar
• Address: ซอยอารีย์ 1 (ข้างอาคารปิยวรรณ ใกล้กับ BTS อารีย์)
• Map: goo.gl/maps/B5ujVnJksbp
• Time: เปิดทุกวัน 6.00 – 15.00 น.
• Facebook: www.facebook.com/BangkokEspressobar/