ต้องยอมรับว่าเดือน พ.ย. เป็นเดือนที่มีภาพยนตร์น่าสนใจจ่อคิวเข้าฉายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์จากนักเขียนชื่อก้องโลกอย่าง J.K Rowling กับภาพยนตร์เรื่อง “Fantastic Beasts สัตว์มหัศจรรย์กับถิ่นที่อยู่” ตามด้วย “Your Name หลับตาฝัน ถึงชื่อเธอ” ภาพยนตร์แอนิเมชั่นสัญชาติญี่ปุ่น ผลงานเรื่องล่าสุดของ Makoto Shinkai และ “Inferno” หรือชื่อภาษาไทยว่า โลกันตนรก ก็เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องที่มีกำหนดเข้าฉายในวันที่ 10 พ.ย. นี้
…แล้วทำไมเราถึงต้องไปดูหนังเรื่องนี้? Inferno มีดีอะไร? วันนี้เรามี 9 เหตุผลที่ทำให้คุณรู้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้น่าดูแค่ไหน รับรองว่าคุณต้องรีบตีตั๋วเข้าชมภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน!
01. ภาคต่อที่ควรตามติด: Inferno เป็นภาพยนตร์ไตรภาคเรื่องล่าสุดของ The Da Vinci Code (เข้าฉายปี 2006) และ Angels & Demons (เข้าฉายปี 2009) ภาพยนตร์เจ้าของสถิติรายได้ 1.2 พันล้านเหรียญที่หลายคนรอคอย ซึ่งหากมองเพียงสถิติรายได้ที่สองเรื่องแรกทำไว้แล้ว ภาพยนตร์ภาค 3 นี้จึงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ทั้งนี้ภาพยนตร์ทั้งสามภาคดำเนินเรื่องราวโดยศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ตัวละครเอกที่จะมาไขปริศนาและความลับ
02. The Best Seller 2013: หลายคนคงทราบอยู่แล้วว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิยายของนักเขียนคนดัง “แดน บราวน์” (Dan Brown) ซึ่งฉบับหนังสือนิยายนั้นมีจำหน่ายไปทั่วโลก โดยเป็นหนังสือขายดีอันดับ 1 ในอเมริกาตั้งแต่วันแรกที่วางจำหน่ายและยังขึ้นแท่น The Best Seller หมวดหนังสือสำหรับผู้ใหญ่ในปี 2013 ของ New York Times อีกด้วย ซึ่งจากตำแหน่งนี้คงเป็นบทพิสูจน์ความสนุกของเรื่องนี้ได้แล้ว
03. คุณภาพดีไม่มีตก: Inferno ยังคงได้ผู้กำกับมือดีอย่าง รอน ฮาวเวิร์ด (Ron Howard) ผู้กำกับคนเดิมจาก The Da Vinci Code และ Angels & Demons มาทำหน้าที่กำกับเช่นเดิม (และยังเป็นผู้กำกับสารคดีเรื่องดังอย่าง Eight Days a Week: The Touring Years อีกด้วย) ส่วนนักแสดงที่มารับบทเป็นศาตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ตัวละครสำคัญของเรื่องก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น ทอม แฮงค์ส (Tom Hanks) คนเก่าคนเดิม ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เรียกได้ว่าเป็นการหวนคืนสู่บทบาทที่สร้างชื่อเสียงให้ ทอม แฮงค์ส อีกครั้ง นอกจากนี้ยังได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) มารังสรรค์เสียง soundtrack ต่อเนื่องครบทั้งไตรภาคอีกด้วย
04. เพิ่มเติมคุณภาพด้วยนักแสดงสาวยอดฝีมือ: แม้จะได้ทีมงานเดิมมาสร้าง แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเพิ่มคุณภาพให้คับจอกันด้วยนักแสดงหญิงฝีมือเยี่ยมอย่าง เฟลิซิตี้ โจนส์ (Felicity Jones) มารับบทดร.เซียนนา บรูคส์ ผู้ช่วยสาวสวยของศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ซึ่งสำหรับผลงานการันตีฝีมือของเธอคนนี้เห็นได้จากผลงานในปี 2015 เฟลิซิตี้ โจนส์ เป็นนักแสดงที่มีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมถึง 3 รางวัลจากเรื่อง The Theory of Everything ทั้ง Oscar 2015, Golden Globe 2015 และ BAFTA Awards 2015
05. แตกต่างและโดดเด่นกว่า: อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้โดดเด่นคือ การเป็นภาพยนตร์สไตล์ Visual โดยเฉพาะการนำเสนอด้วยการลำดับภาพที่ดึงดูดคนดูให้เข้าไปอยู่ในความคิดของศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน ทำให้คนดูเกิดความรู้สึกว่าตัวเองเป็นศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอนซะเอง ซึ่งจุดนี้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจาก The Da Vinci Code และ Angels & Demons อย่างสิ้นเชิง
06. ไขความลับที่ซ่อนอยู่ในผลงานชิ้นเอกของโลก: การไขปริศนาที่ซ่อนอยู่ในผลงานชิ้นเอกของโลกอย่าง “ลามัปปาเดลลินแฟร์โน (la mappa dell’inferno)” ซึ่งวาดโดยจิตรกรระดับโลก ซันโดร บอตตีเชลลี (Sandro Botticelli) เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้น โดยแดน บราวน์ได้แรงบันดาลใจจากวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก “อินแฟร์โน” (Inferno) ที่ประพันธ์โดยดันเต้ อาลีกีเอรี (Dante Alighieri) กวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิตาลีแห่งศตวรรษที่ 14
07. ลุ้นจนตัวโก่งกับเวลาที่จำกัด: จุดเด่นที่ทำให้คอหนังหลงรัก The Da Vinci Code และ Angels & Demons คือธีมหนังที่ชวนตื่นเต้นและลุ้นจนตัวโก่ง โดยเฉพาะเรื่องการถอดรหัสไขปริศนาเพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์โลก, การตีความหมายของสัญลักษณ์ทางศาสนาที่มีอายุเกือบพันปี และการเชื่อมโยงทฤษฎีสมคบคิดหลายทฤษฎีเข้าด้วยกัน จนทำให้ภาพยนตร์ไตรภาคนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ชาญฉลาด แน่นอนว่าสำหรับ Inferno ก็ยังคงจุดเด่นนี้เอาไว้ และยังเพิ่มเติมความท้าทายด้วยภาวะความจำเสื่อมของศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอน พร้อมการแข่งขันกับเวลาที่ถูกจำกัดเพียง 24 ชั่วโมง
08. ความเข้มข้นที่มากกว่าเดิม: ใครที่ติดอกติดใจกับปมประเด็นที่ The Da Vinci Code และ Angels & Demons นำเสนอ สำหรับภาคนี้เราขอบอกเลยว่าคุณจะไม่ผิดหวัง นั่นเพราะ Inferno ได้นำเสนอประเด็นที่เข้มข้นกว่า เริ่มจากความเผ็ดร้อนด้วยคำถามชวนฉุกคิดว่า “โลกมีมนุษย์มากเกินไปหรือไม่” ซึ่งพียงคำถามนี้ก็ทำให้เราซีดปากด้วยความแซ่บกับคำถามที่ไม่อาจหาคำตอบและทางออกที่แท้จริงได้
เติมความจัดจ้านให้แซ่บยิ่งขึ้นด้วยการโฟกัสประเด็นเรื่องความขัดแย้งทางศีลธรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้ง The Da Vinci Code และ Angels & Demons จะมุ่งเน้นไปที่การถอดรหัสและการต่อสู้ระหว่างกลุ่มเคร่งศาสนากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ แต่ Inferno เลือกที่จะมุ่งเน้นประเด็นความขัดแย้งทางศีลธรรม ซึ่งสอดรับกับคำถามที่ว่าโลกมีมนุษย์มากเกินไปหรือไม่
09. ทัวร์ 4 เมืองใหญ่กับการใช้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นฉาก: ข้อนี้ถือได้ว่าเป็นไฮไลท์ของภาพยนตร์เรื่องนี้เลย โดยเฉพาะเมื่อ Inferno ใช้สถานที่สำคัญที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเป็นฉากถึง 70%
เริ่มจาก “เวนิส” ซึ่งไปถ่ายทำกันที่จัตุรัสเซนต์มาร์ค หรือเปียซซา ซาน มาร์โก สถานที่ที่เปรียบเสมือนหัวใจและสัญลักษณ์ของเมืองเวนิส โดยจัตุรัสเซนต์มาร์คถูกขนานนามว่าห้องวาดภาพแห่งยุโรปจากตำแหน่งที่ตั้งของอาคารสำคัญๆ อย่างโบสถ์เซนต์มาร์คซึ่งตั้งอยู่ปลายด้านหนึ่ง มีหอระฆังตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง และบรรดาคาเฟ่ดังๆ ที่ตกแต่งสวยงามตั้งอยู่ทั้งสามฝั่ง
ต่อกันด้วยฉากไล่ล่าศาสตราจารย์โรเบิร์ต แลงดอนที่ถูกจัดขึ้นที่ “ฟลอเรนซ์” โดยนักแสดงนำจะวิ่งผ่านอุทยานที่ยิ่งใหญ่ของพระรางวังพิตติ ซึ่งเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีอายุเก่าแก่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้ Inferno ยังพาไปเยือนแลนด์มาร์คสำคัญของฟลอเรนซ์แบบไม่มีตกหล่น ตั้งแต่สวนโบโบลิ, สะพานเวคคิโอ, พระราชวังเวคคิโอ, และหอทำพิธีศีลจุ่ม
นอกจากนี้ยังมีหลายฉากที่ถูกถ่ายทำใน “บูดาเปสต์” โดยโลเคชันต่างๆ ที่มีบรรยากาศแบบยุโรปของเมืองนี้อย่างพิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์และพิพิธภัณฑ์คิสเซลลีจะที่ถูกใช้ถ่ายทำแทนโลเคชันอื่นๆ ที่ไม่สามารถไปถ่ายยังสถานที่จริงได้ โดยเฉพาะฉากที่น่ากลัวชวนสะพรึงก็ได้ถูกถ่ายทำในสถานที่ที่สวยงามอย่างโรงโอเปราแห่งชาติฮังการี
ปิดท้ายกันที่เมือง “อิสตันบูล” ซึ่งเป็นโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง โดยเฉพาะสถานที่ที่มีชื่อฮาเกีย โซเฟีย สำหรับฮาเกีย โซเฟียถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 6 เป็นอาคารเพียงหลังเดียวในโลกที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา 3 ศาสนา ได้แก่พาแกน, คริสเตียนออร์โธด็อกซ์ และอิสลาม นิกายซุนหนี่ ที่สำคัญฮาเกีย โซเฟียยังมีทางน้ำขนาดใหญ่หลายเส้นทางใต้อาคาร ซึ่งทางน้ำเหล่านี้ทีมงานฝ่ายศิลป์ของ Inferno ได้จำลองขึ้นใหม่เพื่อใช้ถ่ายทำฉากไคลแมกซ์ของเรื่องนั่นเอง
ภาพ : www.imdb.com
ข้อมูล : www.majorcineplex.com , www.imdb.com และ www.facebook.com/MyFavouriteFilms
