หนัง DC

อัพเดตจักรวาล หนัง DC ผ่านไปแล้ว 5 เรื่องจะรุ่งหรือจะร่วง

หนัง DC
หนัง DC

อัพเดตจักรวาล หนัง DC ผ่านไปแล้ว 5 เรื่องจะรุ่งหรือจะร่วง

จากข่าวการประกาศรายได้รวมทั่วโลกที่น่าผิดหวังของ “Justice League” ภาพยนตร์ลำดับที่ 5 ของจักรวาล หนัง DC (รายรับรวมทั่วโลก 657.9 น้อยสุดใน 5 เรื่อง) ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันเท่าที่ควร ซึ่งทำให้ Warner Bros. ต้องยกเครื่องชุดใหญ่ วันนี้เราจะพาชาว Fav Forward ไปอัพเดตกันว่าที่ผ่านมามีเรื่องใดรอดและเรื่องใดร่วงกันบ้าง…

เรียงตามรายรับจากมาก-น้อย

  1. Batman v Superman: Dawn of Justice (2016)
  2. Wonder Woman (2017)
  3. Suicide Squad (2016)
  4. Man of Steel (2013)
  5. Justice League (2017)

Batman v Superman: Dawn of Justice

1.Batman v Superman: Dawn of Justice (2016)

รายได้เฉพาะในอเมริกา: 330.3 ล้านเหรียญฯ

รายได้รวมทั่วโลก: 873.6 ล้านเหรียญฯ

ต้องยอมรับว่าก่อนที่ซุปเปอร์ฮีโร่ฝั่ง Marvel จะบูมดังเช่นทุกวันนี้ ในอดีตซุปเปอร์ฮีโร่ที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักกันดีคงหนีไม่พ้น Superman และ Batman อย่างแน่นอน (ปัจจุบันก็ยังดังอยู่) ฉะนั้นการจับฮีโร่สองตัวนี้มาปะทะกันในภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของจักรวาล DC จึงเป็นอะไรที่ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างรอคอย และก็เป็นไปตามคาด Batman v Superman: Dawn of Justice ขึ้นแท่นกลายเป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำเงินสูงสุดในจักรวาล DC ไปเรียบร้อยโรงเรียนพี่ซุป (มี Wonder Woman ที่กระแสดีกว่า ทำรายได้หายใจรดต้นคอมาแบบติดๆ)

Batman v Superman: Dawn of Justice

แต่การทำเงินทั่วทั้งโลกในระดับเกือบ 900 ล้านเหรียญฯไม่ได้แปลว่าตัวภาพยนตร์จะมีกระแสดีตามไปด้วย ทั้งนี้เพราะผู้ชมส่วนใหญ่ต่างแบ่งออกเป็นสองเสียง (ไม่ได้หมายถึงฝั่ง Superman และฝั่งของ Batman นะ) ซึ่งมีทั้งที่ชื่นชอบมากกับบ่นว่าน่าเบื่อแบบสุดๆ ไปเลยก็มี โดยข้อติส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นใน Batman v Superman: Dawn of Justice คงหนีไม่พ้นเรื่องของ “บท” ที่มีเส้นเรื่องและรายละเอียดยิบย่อยแต่กลับทำได้ไม่ถึง (รวมไปถึงฉากที่เปรียบเสมือนจุดเปลี่ยนของเรื่องแต่กลับทำคนดูหลายๆ คนอุทานในโรงว่าจะเอาเหตุผลแบบนี้จริงดิ)

Batman v Superman: Dawn of Justice

ซึ่งท้ายที่สุดแล้วด้วยความที่ Batman v Superman: Dawn of Justice เป็นการกลับมาของจักรวาล dc อีกครั้งนับตั้งแต่ Man of Steel ในปี 2013 และเป็นครั้งแรกที่ฮีโร่ DC สามตัวสุดปังได้โคจรมาเจอกันบนแผ่นฟิล์ม (Superman, Batman และ Wonder Woman ซึ่งแจ้งเกิดแบบสุดๆ) จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สามารถทำเงินทั่วทั้งโลกในระดับที่น่าพอใจได้เป็นอย่างดี (อีกนิดเดียวก็จะถึงพันล้านเหรียญฯแล้ว)

สรุปอนาคต: เป็นการต่อยอดจาก Man of Steel ที่ช่วยปูทางให้กับตัวละครในจักรวาล DC ตัวอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี แต่จะดีกว่านี้ถ้าหากกระแสไม่แบ่งออกเป็นสองส่วน (แฟนๆ DC ชอบ แต่คนทั่วไปบอกน่าเบื่อ)

Wonder Woman

2.Wonder Woman (2017)

รายได้เฉพาะในอเมริกา: 412.5 ล้านเหรียญฯ

รายได้รวมทั่วโลก: 821.8 ล้านเหรียญฯ

เคยครองตำแหน่งภาพยนตร์ฮีโร่ภาคเดี่ยวที่ทำรายรับในอเมริกาสูงที่สุดตลอดกาลสำหรับ Wonder Woman (ตอนนี้แชมป์อยู่ที่ Black Panther ที่มีรายรับในอเมริกาสูงถึง 630.9 ล้านเหรียญฯ และยังไม่หมดรอบฉาย) ผลงานการกำกับของ Patty Jenkins ผู้กำกับหญิงที่มีค่าตัวสูงที่สุดในวงการฮอลลีวูด ซึ่งก่อนหน้าที่จะได้ร่วมงานกับ Warner Bros. นั้น เธอได้ถูกวางตัวให้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ค่ายคู่แข่งอย่าง Thor 2 แต่ด้วยทัศนคติบางอย่างที่ไม่ตรงกันจึงทำให้เธอก้าวออกมาจากโปรเจกต์นั้นและได้ถ่ายทอด Wonder Woman ในมุมมองของผู้หญิงออกมาสู่สายตาชาวโลก

Wonder Woman

ถึงแม้จะเป็นตัวละครฮีโร่ที่ดังมาจากคอมมิคแต่หลายๆ ครั้งเมื่อ Wonder Woman ถูกนำมาสร้างในแบบฉบับคนแสดงกลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร และด้วยคาแรกเตอร์ชุดสุดแสนวาบหวิวจึงทำให้ตัวละครนี้ถูกโยงในเรื่องความเซ็กซี่อยู่ตลอดเวลา การกลับมาของ Wonder Woman จึงเป็นงานท้าทายที่จะเปลี่ยนภาพจำของสาวน้อยมหัศจรรย์คนนี้ให้กลายเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่เด็กผู้หญิงทั่วทั้งโลกยึดเป็นแบบอย่าง (เช่นเดียวกับที่เด็กผู้ชายอยากเป็น Superman)

หนัง DC

และแน่นอนว่าการปรากฏตัวเพียงเล็กน้อยใน Batman v Superman: Dawn of Justice ของ Wonder Woman ก็ได้แย่งซีนบรรดาตัวละครหลักในเรื่องอย่าง Superman และ Batman ไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งเมื่อทาง Warner Bros. ได้เข็นภาคเดี่ยวของ Wonder Woman ตามมาในช่วงต้นปี 2017 ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากทั้งรายได้และคำวิจารณ์อยู่ในเกณฑ์ดีเยี่ยมอย่างที่ไม่มีภาพยนตร์ DC เรื่องไหนในช่วงหลังๆ ทำได้มาก่อน และด้วยความดังของภาพยนตร์เรื่องนี้จึงส่งผลให้ชีวิตการทำงานของ Gal Gadot นางเอกของเรื่องขึ้นไปสู่ระดับท็อปของนักแสดงในชั่วข้ามคืน

สรุปอนาคต: ได้ไปต่อแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ (เพราะภาค 2 จ่อคิวฉายในปี 2019 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว)

Suicide Squad

3.Suicide Squad (2016)

รายได้เฉพาะในอเมริกา: 325.1 ล้านเหรียญฯ

รายได้รวมทั่วโลก: 746.8 ล้านเหรียญฯ

นอกเหนือจากฮีโร่ที่มีชื่อเสียงแล้ว ค่าย DC ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งอีกส่วนหนึ่งมาจากเหล่าบรรดาวายร้ายที่โด่งดังไม่แพ้ซุปเปอร์ฮีโร่ ด้วยเหตุนี้เอง Suicide Squad จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นเรื่องที่ 3 ในจักรวาล DC ต่อจาก Batman v Superman: Dawn of Justice

Suicide Squad

และเมื่อทันทีที่ประกาศรายชื่อนักแสดง ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สร้างกระแสฮือฮาไปทั่วทั้งโลก โดยเป็นการรวบรวมนักแสดงแถวหน้าและดาราที่มีกระแสเอาไว้อย่างคับคั่ง ไม่ว่าจะเป็น Will Smith, Jared Leto, Margot Robbie, Joel Kinnaman, Viola Davis, Jai Courtney, Jay Hernandez, Adewale Akinnuoye-Agbaje, Ike Barinholtz, Scott Eastwood และ Cara Delevingne ยิ่งโดยเฉพาะข่าวคราววงในที่ว่ากันว่า Jared Leto เกือบจะสติแตกจนกลายเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ หลังจากที่ต้องเวิร์คช็อปเป็นอย่างหนักเพื่อให้ตนเองเข้าถึงบทบาท Joker ก็ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยิ่งถูกจับตามองจากแฟนๆ ทั่วโลกไปโดยปริยาย

Suicide Squad

ซึ่งเมื่อเข้าฉาย Suicide Squad ก็ยังคงแสดงจุดอ่อนเรื่องบทที่เป็นสิ่งที่ Warner Bros. และ DC แก้ไม่ตกอีกเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นการวางพลอตและเส้นเรื่องที่กระชับมากเสียจนมองไม่เห็นรายละเอียดเท่าที่ควร ยังไม่รวมกับการที่แฟนๆ ออกมาบ่นเรื่องการชู Joker ในตอนโปรโมทเหมือนตัวเด่นของเรื่อง แต่พอเข้าฉายกลับกลายเป็นมีบทอยู่เพียงน้อยนิด ซึ่งนักแสดงของเรื่องอย่าง Jared Leto ก็เคยออกมาฉะทางค่ายเช่นเดียวกัน

สรุปอนาคต: แต่ถึงอย่างไร Suicide Squad ก็ทำเงินทั่วโลกไปได้กว่า 746 ล้านเหรียญฯ รวมไปถึงกระแสตอบรับภายในบ้านที่อเมริกายังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ Batman v Superman: Dawn of Justice จึงไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่ทำให้ Warner Bros. ตัดสินใจไม่ทำภาคต่อ ทั้งนี้แว่วๆ มาว่าทาง Warner Bros. เองก็กำลังเตรียมงาน Gotham City Sirens ภาพยนตร์รวมดาววายร้ายสาวคนอื่นๆ อีกด้วยเช่นเดียวกัน

Man of Steel

4.Man of Steel (2013)

รายได้เฉพาะในอเมริกา: 291.0 ล้านเหรียญฯ

รายได้รวมทั่วโลก: 668.0 ล้านเหรียญฯ

นับตั้งแต่ปี 1938 ที่ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวแรกของโลกอย่าง Superman ได้ถือกำเนิดขึ้นมา บุรุษเหล็กผู้นี้ก็ได้โลดแล่นบนความทรงจำของแฟนๆ ผ่านเวอร์ชั่นคอมมิค ซีรี่ส์ทางโทรทัศน์ และภาพยนตร์มาแล้วมากมายแทบนับไม่ถ้วน

หนัง DC

Man of Steel คือภาพยนตร์เวอร์ชั่นรีบูทใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ถือเป็นยุคตกต่ำของ Superman ที่ภาค Superman Returns ทำรายได้ไม่เข้าเป้า รวมไปถึงคำวิจารณ์ยังอยู่ในระดับที่น่าเบื่อมากกว่าน่าชมเสียด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้เองทาง Warner Bros. จึงได้เรียกตัว Zack Snyder ที่กำลังมือขึ้นจากตระกูล Watchmen มากำกับ Superman เวอร์ชั่นเปิดจักรวาล DC เรื่องนี้ให้ออกมาดาร์คสมใจแฟนๆ

Man of Steel

และแน่นอนว่า Man of Steel จึงกลายเป็นภาพยนตร์ฮีโร่จาก DC เรื่องแรกในรอบหลายปีที่ทำเงินทั่วโลกไปกว่า 668 ล้านเหรียญฯ ซึ่งในขณะนั้นทาง Walt Disney Studios ได้ร่วมมือกับ Marvel เข็นภาพยนตร์รวมดาวซุปเปอร์ฮีโร่ของค่ายอย่าง Avengers ออกมาซึ่งทำรายได้ถล่มทลายไปพอสมควร (1.5 พันล้านเหรียญฯ) มีหรือที่ทาง DC และ Warner Bros. จะยอมน้อยหน้า จึงถือโอกาสที่ Man of Steel ประสบความสำเร็จเกินคาดเปิดโปรเจกต์ DC Expanded Universe (DCEU) หรือจักรวาล DC ขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

สรุปอนาคต: เป็นภาพยนตร์เปิดจักรวาลที่มีอนาคตสดใสเพราะมีเส้นเรื่องหลักที่แข็งแกร่งเป็นของตัวเอง นักแสดงนำอย่าง Henry Cavill ถึงจะมีเสียงวิจารณ์ในตอนแรกอยู่บ้างแต่ก็เหมาะสมกับบทซุปอย่างที่หาคนมาแทนได้ยากในปัจจุบัน ทางด้านภาคต่อนั้นน่าจะต้องรอหลังจากทาง Warner Bros. ปล่อยเรื่องอื่นๆ ในจักรวาลออกฉายเสียก่อน ซึ่งล่าสุดมีข่าวแว่วมาว่าผู้กำกับภาคต่ออาจเป็น Matthew Vaughn จาก Kingsman: The Secret Service แทน Zack Snyder

หนัง DC

5.Justice League (2017)

รายได้เฉพาะในอเมริกา: 229.0 ล้านเหรียญฯ

รายได้รวมทั่วโลก: 657.9 ล้านเหรียญฯ

ถึงแม้รายรับโดยรวมจะไม่ขี้เหร่แต่เชื่อลึกๆ แล้วว่าทาง Warner Bros. นั้นคงต้องการหมายมั่นปั้นมือให้ Justice League ประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับ Avengers ของค่าย Walt Disney Studios ที่ทำรายได้แต่ละภาคทะลุเกินพันล้านเหรียญฯ อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพราะคาดเดาจากการดึงตัวผู้กำกับ Joss Whedon ที่เคยคุมบังเหียนโปรเจกต์ Avengers ให้มากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ต่อจาก Zack Snyder ที่ได้ถอนตัวออกจากการเป็นผู้กำกับอย่างกระทันหันอันเนื่องมาจากปัญหาทางด้านครอบครัว (ลูกสาวของเขาฆ่าตัวตาย)

Justice League

และคงปฎิเสธไม่ได้ว่าที่รายรับของ Justice League ไปไม่ถึงฝั่งฝัน (พันล้านเหรียญฯ) ส่วนหนึ่งนั้นเป็นเพราะการทำงานที่แยกออกเป็นสองส่วนจนผู้ชมรู้สึกได้ โดยถ้าหากสังเกตดูให้ดีๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเป็นการ “ยำ” รวมฟุตเทจของผู้กำกับคนก่อนหน้าอย่าง Zack Snyder ที่ผลงานส่วนใหญ่ออกแนวหม่นๆ (แฟนๆ DC ส่วนใหญ่จะชอบสไตล์นี้) เข้ากับความกระชับสอดแทรกมุขตลกแบบ Marvel ของผู้กำกับ Joss Whedon จึงทำให้ภาพรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาอยู่ในระดับครึ่งๆ กลางๆ ไปไม่สุด

Justice League

นอกจากนี้สิ่งหนึ่งที่แฟนๆ ส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันคงจะเป็นเรื่องของการปูเนื้อหาตัวละครก่อนการร่วมทีม Justice League ที่ทำให้ผู้ชมไม่ได้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมกับตัวละครเท่าใดนัก การปรากฏตัวของ Aquaman, Cyborg และ The Flash ที่ดูรวดเร็ว กระชับ จนไม่อินกับปมหลังที่ทำให้มาร่วมทีม Justice League ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมกรณีของ Steppenwolf ตัวร้ายที่เปิดตัวมาอย่างปังแต่มีจุดจบแบบที่คนดูงงไปตามๆ กัน แต่เหนือสิ่งอื่นใดพาร์ทของ Wonder Woman ยังคงเป็นความดีงามที่คนดูแทบจะทุกคนต่างชมเป็นเสียงเดียวกัน (Wonder Woman 2 อาจปังจนทะลุพันล้านแน่ๆ )

สรุปอนาคต: น่าตกใจที่ Justice League คือภาพยนตร์รวมดาวฮีโร่ที่อยู่ในระดับเดียวกับ Avengers แต่กลับทำรายได้ต่ำสุดในจักรวาล DC (ตอนนี้เข้าฉายไปแล้วทั้งหมด 5 เรื่อง) แต่ถึงอย่างไรแนวโน้มการมี Justice League 2 มีความเป็นไปได้สูงถึง 95% (อีก 5% คือการรอลุ้นภาพยนตร์เดี่ยวที่จะเข้าฉายของ Aquaman, Cyborg และ The Flash ซึ่งถ้าหากโชคร้ายแป้กติดต่อกันสามเรื่องรวดก็อาจจะส่งผลกระทบต่อ Justice League 2 ได้เช่นกัน)


ข้อมูลประกอบ: www.boxofficemojo.com

เรื่องโดย: Nomad609

ภาพประกอบ: Warner Bros.

keyboard_arrow_up