19 เรื่องเล่า “พระราชอารมณ์ขัน” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ชวนให้ปวงชนอมยิ้ม

เรื่องเล่า “พระราชอารมณ์ขัน” ที่หลายคนเคยเห็นผ่านตากันมาบนโลกออนไลน์เหล่านี้ เป็นเรื่องเล่าที่ชวนให้พสกนิกรชาวไทยอย่างเราเกิดรอยยิ้มขึ้นได้ในช่วงเวลาที่แสนเศร้า และยังเป็นเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกใกล้ชิดกับในหลวงรัชกาลที่ 9 วันนี้ Favforward จึงได้รวบรวมเรื่องเล่าพระราชอารมณ์ขันของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านกันแบบจุใจ

ในบทความนี้รวบรวมมาจากหลายแหล่ง ทำให้เรื่องเล่าบางเรื่องมีความคลาดเคลื่อนในรายละเอียดไปบ้าง แต่ทั้งนี้แหล่งอ้างอิงสำคัญของพระราชอารมณ์ขันมาจาก “หนังสือพระราชอารมณ์ขัน” โดยวิลาศ มณีวัต ซึ่งได้ค้นคว้าและเรียบเรียงจากความทรงจำที่คุณวิลาศเป็นผู้รวบรวมขึ้นนั่นเอง

01. ซุ้มในหลวง

ระยะแรกราวปี พ.ศ.2498 เป็นต้นมา คราใดที่เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเสด็จประพาสต้นของรัชกาลที่ห้า โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว

วันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน ซึ่งราษฎรกำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จกันอย่างสนุกสนานครื้นเครงและไม่คาดคิดว่าเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์

“..ต้องให้ในหลวงเสด็จฯ ก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้.. วันนี้ห้ามลอดผ่านซุ้มนี้ เพราะขอให้ในหลวงผ่านก่อนนะ..”

ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงข้างทางไม่ลอดซุ้มดังกล่าว วันรุ่งขึ้นเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตามและทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า

“วันนี้ฉันเป็นในหลวง..คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ..”

02. ลิเกเก่า คล่องศัพท์

อีกครั้งหนึ่งที่ภาคอีสาน เมื่อเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบนบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงน เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้ จึงมีคำกราบทูลว่า

“ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวน พระพุทธเจ้าข้า..”

มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า “มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”

เรื่องนี้ ดร.สุเมธเล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง

03. ไกล่เกลี่ย

บางครั้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ก็ต้องทรงทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเกี่ยวกับปัญหาครอบครัวด้วยเช่นกัน

ชาวเขาคนหนึ่งได้มากราบบังคมทูลร้องทุกข์ว่า เขาได้ให้หมูสองตัวกับเงินก้อนหนึ่งแก่เมีย แต่เมียพอได้เงินแล้วกลับหนีตามชู้ไป พระองค์ก็ทรงตัดสินว่า สามีจะต้องได้รับเงินชดใช้ และให้ปล่อยภรรยาไปตามใจของเธอ ญาติของทั้งสองฝ่ายก็พอใจ

รับสั่งเล่าด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “แต่ที่แย่ก็คือ ฉันต้องควักเงินให้ไป…หญิงผู้นั้นก็เลยต้องตกเป็นของฉัน” รับสั่งแล้วก็ทรงพระสรวล

สักครู่หญิงผู้นั้นก็นำสุราพื้นเมืองมาถวาย “ถ้าฉันเมาพับไป อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้”

04. กี่กิโล

ม.ล.ปิ่น มาลากุล เคยเล่าให้ฟังว่า ที่วิทยาลัยประสานมิตรปีหนึ่ง เมื่อพระราชทานปริญญาบัตรเสร็จแล้วมีพระราชดำรัสแก่ ม.ล.ปิ่น ว่า “วันนี้ฉันได้ให้ปริญญาบัตรไปกี่กิโล”

ม.ล.ปิ่น มาลากุล อึกอัก จนด้วยเกล้า เพราะมิได้ให้ปลัดกระทรวงหรืออธิบดีชั่งน้ำหนักปริญญาบัตรไว้ก่อน เพื่อกราบบังคมทูล แต่ในปีต่อมา ในโอกาสเช่นเดียวกัน เผื่อเหนียว… อธิการบดีของวิทยาลัยได้เตรียมพร้อมชั่งน้ำหนักใบปริญญาบัตรจำนวนทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้วล่วงหน้า ม.ล.ปิ่น มาลากุล จึงกราบบังคลทูลเสียงดังว่า

“วันนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปริญญาบัตรไปจำนวนทั้งหมด 230 กิโลกรัม”

ในทันทีนั้นก็มีพระราชดำรัสถาม ม.ล.ปิ่น ว่า “ฉันจะต้องได้อาหารสักกี่แคลอรีจึงจะพอชดเชยกับแรงงานที่ได้เสียไป”

05. กล้วยรับเสด็จ

เรื่องความละเอียดอ่อนและรอบรู้ในสรรพวิชาของในหลวงรัชกาลที่ 9 นั้นมีนานัปการและทรงเป็นนักวิเคราะห์และสังเกตได้อย่างที่ไม่มีผู้ใดคาดถึง

สมัยเมื่อหลายปีก่อนยามที่จะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงติดตามงานใดในพระราชดำริก็มักมีการเตรียมพื้นที่ประดับต้นไม้ใบหญ้าสารพัดเพื่อให้สมพระเกียรติ ดร.สุเมธเล่าว่า ทรงเรียกต้นไม้ดอกไม้ทั้งหลายว่า ‘ต้นไม้รับเสด็จ’ บ้าง หรือปลูกผักชีรับเสด็จบ้าง เพราะบางที่มีทั้งกระถางโผล่มาให้ทรงเห็นในแปลงเกษตรทั้งหลายก็มี

ครั้งหนึ่งเมื่อรถพระที่นั่งถึงบริเวณโครงการแห่งหนึ่ง ทรงสัพยอกถามเจ้าหน้าที่ที่นั่นว่า “มีปลูกผักชีด้วยหรือเปล่า”

เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกราบทูลหน้าตาซื่อว่า “มีพระพุทธเจ้าข้า พร้อมทำท่านำเสด็จฯ ไปทอดพระเนตรอย่างขึงขัง”

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงชี้ไปยังกลุ่มกอกล้วยน้ำว้ากอใหญ่ที่ต่างออกดอกปลีมีผลเป็นเครือสวยงามและตรัสว่า “นี่ก็เป็นต้นกล้วยรับเสด็จด้วย” และมีพระราชอธิบายว่า “ธรรมชาติของกล้วยนั้นจะออกดอกผลไปในทางทิศเดียวกัน..”

แต่กล้วยที่นี่ออกลูกได้ในทุกทิศ จึงเป็นกล้วยรับเสด็จที่ทรงจับได้ในวันนั้น นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีพระอารมณ์ขันในยามทรงงานด้วยเช่นกัน

06. ฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น

เหตุการณ์เมื่อปี 2513 วันนั้นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไปแอ่วบ้านเฮา ท่านก็ทรงเสด็จตามเขาเข้าไปในบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง

ผู้ใหญ่บ้านเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ทางผู้ติดตามรู้สึกเป็นห่วง เพราะปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง

แต่ท่านก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังทรงรับสั่งว่า “ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด”

07. ชื่อเดียวกัน

การใช้ราชาศัพท์กับในหลวงรัชกาลที่ 9 ดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ใครต่อใครเกร็งกันทั้งแผ่นดิน เพราะเรียนมาตั้งแต่เล็ก แต่ไม่เคยได้ใช้ เมื่อออกงานใหญ่จึงตื่นเต้นประหม่า ซึ่งเป็นธรรมดาของคนทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆ นานัปการ

ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการเคยเล่าให้ฟังว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม

ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า ”ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน…”

เมื่อคำกราบบังคมทูลจบ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า “เออ ดี เราชื่อเดียวกัน”

ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้รายงานตื่นเต้นจนจำชื่อตนเองไม่ได้

08. ญาติกับฉัน

ครั้งหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถามข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร”

ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพะยะค่ะ”

พระองค์จึงตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันนะสิ”

09. ไม่ขึ้นเงินเดือน

ด้วยความที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 โปรดการถ่ายภาพ และทรงถ่ายภาพต่างๆ อยู่เป็นประจำ โดยภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ได้ไปปรากฏอยู่ในนิตยสาร “สแตนดาร์ด” ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า…

“ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ 100 บาท ตั้งหลายปีมาแล้ว จนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ 100 บาทอยู่เรื่อยมา”

10. มิกกี้เมาส์

เมื่อครั้งท่านพระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น และมีเจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ขอท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า

“ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์”

11. หมอลำ

ครั้งหนึ่งได้มีพิธีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”

ต่อมาเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว”

ไม่นานก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก จึงรับสั่งว่า “ตอนนี้เราเป็นหมอลำ”

12. พระหมด

ครั้งหนึ่งขณะที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร พระองค์ท่านทรงแจกพระเครื่องให้กับราษฎรจนหมดแล้ว

แต่มีราษฎรผู้หนึ่งยังไม่ได้รับ จึงกราบบังคมทูลขอรับพระราชทานพระเครื่องว่า “ขอเดชะ ขอพระหนึ่งองค์”

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสตอบว่า “ขอเดชะ พระหมดแล้ว”

13. ไม่มีบัตร เข้าไม่ได้

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงโปรดเสด็จพระราชดำเนินระยะไกลตามชายทะเลจากหน้าพระราชวังและเสด็จกลับมาในตอนเย็นๆ อยู่บ่อยๆ มีครั้งหนึ่งเมื่อเสด็จกลับปรากฏว่า มีทหารนายหนึ่งไม่ให้พระองค์เข้า

“ไม่ได้ครับ ไม่มีบัตรผ่าน เข้าไม่ได้” ทหารว่า
“ขอโทษที ฉันไม่มีบัตร แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เธอมีธนบัตรไหม” ทรงตอบ
“มีครับ ทำไมหรือ” ทหารว่า
พระองค์ก็ทรงตรัสว่า “นั่นแหละบัตรของฉัน”

14. สามมะขามป้อม

มีอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากปีนเขาขึ้นไปบนสันเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่ง ก็มีผู้กราบบังคมทูลถามในหลวงว่า ภูเขาลูกใหญ่ที่ปีนเมื่อบ่ายวานซืนกับลูกนี้ ลูกไหนสูงกว่ากัน

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสตอบว่า “ลูกวานซืนนี้สูงกว่า เพราะฉันเคี้ยวมะขามป้อมถึงห้าลูกกว่าจะถึงยอด แต่วันนี้เพียงสามมะขามป้อมเท่านั้น”

15. ทรงพระครรภ์

ครั้งหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ประชวรนิดหน่อยเกี่ยวกับพระฉวี (ผิวหนัง) มีพระอาการคัน มีหมอโรคผิวหนังคณะหนึ่งไปเข้าเผ้าฯ เพื่อถวายการรักษา

คุณหมอเป็นผู้เชี่ยวชาญทางโรคผิวหนัง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญราชาศัพท์ก็กราบบังคมทูลว่า “เอ๋อ…ทรง…อ้า…ทรงพระคันมานานแล้วหรือยังพะยะค่ะ”

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงสรวลและตรัสว่า “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงนี่ จะท้องได้ยังไง”

แล้วทรงพระกรุณาว่าหมอคงไม่รู้ราชาศัพท์ด้านอวัยวะร่างกายจริงๆ ก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตว่า “เอ้า พูดภาษาอังกฤษกันเถอะ”

เป็นอันว่าก็กราบบังคมทูลซักพระอาการกันเป็นภาษาอังกฤษกันไป

16. ได้เป็นช่าง

มีเรื่องหนึ่งเคยฟังจากผู้ใหญ่เล่าเมื่อนานมาแล้ว มีช่างไฟทำฝ้าเพดานในวังคนหนึ่งกำลังยืบบนบันได ส่วนหัวอยู่ใต้ฝ้า และมีอีกคนคอยจับบันไดอยู่ด้านล่าง พอดีในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จมา คนอยู่ข้างล่างเห็นในหลวงก็ก้มลงกราบ

คนอยู่ด้านบนมองไม่เห็นและร้องบอกว่า “เฮ้ย จับดีๆ หน่อยสิ อย่าให้แกว่ง”

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงจับบันไดให้ ช่างก็บอกว่า “เออ ดีๆ เสร็จงานนี้จะให้เป็นช่างจริง” พอเสร็จก็ก้าวลงมา และเมื่อเห็นว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นคนจับบันไดให้ ถึงกับเข่าอ่อนจะตกบันได รับลงมาก้มกราบ

และในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสกับช่างว่า “แหม ดีนะที่ชมว่าใช้ได้ แถมจะปรับตำแหน่งให้เป็นช่างอีกด้วย”

17. ถวายพระเพลิง

ในอดีตมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสูบพระโอสถซิการ์ วันหนึ่งเมื่อทรงหยิบซิการ์ออกมา ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดจะจุดให้ จึงกราบบังคมทูลว่า

“ขอถวายพระเพลิง”

ทรงพระสรวล แล้วตรัสว่า “ยัง… ยังก่อน”

18. FBI

ครั้งหนึ่งได้พระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร LOOK ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้รับสั่งว่า “เมื่อครั้งประธานาธิบดีของท่านมาเยือนประเทศไทย มีพวก FBI และหน่วย รปภ. ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมดจนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันทำเช่นนั้นก็ไม่สามารถใกล้ชิดประชาชนได้

ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไปจะมีคุณยายพูดขึ้นว่า ‘หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ’ คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน”

19. สามร้อยตุ่ม

มีหลายครั้งที่ทรงงานติดพันจนมืดสนิท ท่ามกลางฝูงยุงที่รุมตอมเข้ามากัดบริเวณพระวรกาย รอบพระศอ พระกร พระพักตร์ รวมทั้งแมลงต่างๆ ที่เข้ามารุมรบกวนพระองค์

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงทอดพระเนตรแผนที่ภายใต้แสงไฟฉายที่มีผู้ส่องถวายทรงไม่สะดุ้งสะทือน อย่างมากที่ทรงทำคือ โบกพระหัตถ์ปัดไล่เบาๆ เท่านั้น

และครั้งหนึ่งทรงมีรับสั่งเล่าเรื่อง ‘ยุง’ ด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า “ที่บางจาก แต่ไม่มีจากหรอกนะ ยุงชุมมากเลย ไปยืนดูแผนที่เลยโดนยุงรุมกัดขาทั้งสองข้าง กลับมาขาบวมแดง ไปสกลนครกลับมาแล้วถึงได้ยุบลง มองเห็นเป็นตุ่มแดง ลองนับดูได้ข้างละร้อยห้าสิบตุ่ม สองข้างรวมสามร้อยพอดี”


 

ข้อมูลจาก : e-book “เรื่องเล่าจากในวังและพระราชอารมณ์ขั้นของในหลวง” รวบรวมโดยกลุ่มพิทักษ์รักราชันย์, thematter.co, www.med.cmu.ac.th และ news.mthai.com

keyboard_arrow_up