ออกกำลังกายแบบ High หรือ Low Impact ให้ Fitbit Charge 3 ฟิตเนสแทรคเกอร์ บอกว่าแบบไหนที่ใช่กับเรา
เทรนด์รักสุขภาพกับการเล่นกีฬากำลังมาแรง ไม่ว่าจะเริ่มวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก ลงแข่งวิ่งสะสมเหรียญ วิ่งเทรล ฟิตเนส โยคะ และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน แต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่ากิจกรรมที่เราเลือกเล่นอยู่นั้นแท้จริงแล้วเราเหมาะสมกับมันหรือไม่ มีคนอีกไม่น้อยที่พอเริ่มออกกำลังไปแล้ว ก็รู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะกับเรา ทำไมเรารู้สึกเหนื่อยกว่าคนอื่น หรือทำไมถึงมีอาการบาดเจ็บหลังจากการออกกำลังทุกครั้ง จนบางครั้งก็ต้องถอดใจล้มเลิกไปในที่สุด
จริงๆ แล้วการใส่ ฟิตเนสแทรคเกอร์ ในปัจจุบันไม่ได้เพียงวัดแค่อัตราการเต้นของหัวใจ รอบในการวิ่งหรือนับก้าว แต่ยังฉลาดในการบอกค่าต่างๆ เพื่อให้เราได้เข้าใจสรีระและสุขภาพร่างกายของตัวเองได้ลึกซึ้งขึ้น พบกีฬาที่ตรงกับไลฟ์สไตล์และสุขภาพของเรามากที่สุด
ความแตกต่างของการออกกำลังกายแบบ LOW IMPACT และ HIGH IMPACT
กีฬาวิ่งเป็นกีฬาประเภท High-Impact นั่นคือร่างกายจะได้แรงกระแทก แรงกดตามข้อต่าง ๆ ค่อนข้างมาก การวิ่งออกกำลังเป็นกิจกรรมที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเผาผลาญพลังงานในปริมาณที่มาก หรือเน้นการสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคนที่อายุยังน้อย ยังอยู่ในวัยที่กำลังเติบโต ใช้พลังงานได้เยอะ อย่างเช่นน้อง ๆ เด็กนักเรียนไปจนถึงวัยทำงานก่อนอายุ 40 แต่ไม่ได้หมายความว่าอายุเกิน 40 แล้วจะออกกำลังแบบ High-Impact ไม่ได้ แต่เราต้องมีความรู้ความเข้าใจในสภาพร่างกายของตนเองให้ดี เมื่ออายุเยอะขึ้นแล้ว การเตรียมตัวให้พร้อมทั้งก่อนและหลังการออกกำลังเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ควรใช้เวลาวอร์มอัพร่างกายให้มากขึ้น ยึดกล้ามเนื้อให้สม่ำเสมอทุกวัน ลดการทานอาหารที่มีไขมันสูง และพักผ่อนให้เพียงพอ อุปกรณ์อย่าง ฟิตบิต ชาร์จ 3 จะช่วยเป็นเครื่องบอกข้อมูลสุขภาพของเราออกมาให้เลือกใช้ อย่างน้อยสิ่งนี้จะช่วยให้เราสามารถวางแผนการฝึกซ้อม หรือออกกำลังให้เราได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วสภาพร่างกายคือเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญที่สุด ว่าเราควรที่จะออกกำลังกายแบบนี้อยู่อีกหรือไม่ คนที่มีน้ำหนักตัวมาก อายุมากหรือเคยได้รับการผ่าตัดหัวเข่า ข้อต่าง ๆ แล้ว อาจจะต้องดูแลตัวเองให้ดีหากคิดว่าตัวเองจะออกไปวิ่งมาราธอน อย่างน้อยเราจะได้เข้าใจหลักการเต้นของหัวใจของเราได้ดีขึ้น เราต้องวิ่งให้ถูกวิธี ฝึกซ้อมให้ถูกวิธี การยึดกล้ามเนื้อและการอบอุ่นร่างกายก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการออกกำลัง โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาออฟฟิศ ซินโดรม เรื่องนี้ควรปรึกษาหาคำแนะนำจากนักกายภาพ เพราะถ้าบางคนมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก ข้อต่อ หรือกระดูกสันหลัง การออกกำลังกายแบบ High-Impact อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดการบาดเจ็บ ซึ่งอาจจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมได้
ส่วนกีฬาแบบ Low – Impact หลาย ๆ คนอาจจะมองว่าการออกกำลังกายแบบ Low-Impact ไม่ค่อยใช้แรงเยอะ แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำว่า Impact นั้นในที่นี้หมายความว่าอะไร การเคลื่อนไหวที่เป็น High-impact ไม่ได้หมายถึงกีฬาที่มีการกระทบกระทั่งกันอย่างต่อยมวยหรือฟุตบอลอย่างเดียวเท่านั้น impact ในแง่ของการออกกำลังกาย (exercise terminology) หมายถึงแรงกดที่เกิดขึ้นกับกระดูกและข้อต่อต่าง ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อเท้า กระดูกสะโพก ข้อมือ ซึ่งกิจกรรมที่ถือว่าเป็นการออกกำลังแบบ High-Impact เช่น วิ่ง ครอสฟิต ซุมบ้า ยิมนาสติก หรือบาสเกตบอล ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่มีการใช้ร่างกายทุกส่วน การกระโดด หรือกดน้ำหนักตัวลงไปที่ข้อ หัวเข่า เยอะมาก ในทางกลับกัน การออกกำลังแบบ Low-Impact ก็มีการใช้ร่างกายทุกส่วนเช่นเดียวกัน แต่จะแตกต่างกันที่เท้าของเราทั้งสองข้างแทบจะไม่ได้ลอย หรืออยู่สูงจากพื้น หรือมีการกระโดดเลย สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่าง High- และ Low-impact exercise ก็คือแรงกดที่เกิดขึ้นระหว่างการออกกำลังกายนั่นเอง ดังนั้นกิจกรรมแบบ Low-Impact จึงเหมาะกับคนทุกระดับสมรรถภาพร่างกาย แม้แต่คนที่มีปัญหาร่างกายก็สามารถออกกำลังกายในแบบนี้ได้ กลุ่มคนที่ออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักตัวที่มีอยู่มากเกินเกณฑ์ คนที่มีปัญหาเรื่องข้อเสื่อม หรือแม้แต่คนที่เคยมีปัญหาจากการออกแบบ High-Impact ก็สามารถมาลองเล่นดูได้ เพราะการออกกำลังประเภทนี้จะเป็นการลดความเสี่ยงของการเพิ่มภาระให้กับพวกกระดูก ไขข้อต่าง ๆ ได้แต่ก็ยังคงระดับการเผาผลาญที่ใกล้เคียงกับกิจกรรม High- Impact กิจกรรมแบบ Low-Impact ได้แก่ การเดินเร็ว พิลาทิส กิจกรรมทำสวน โยคะ และปั่นจักรยาน เป็นต้น
ฟิตบิท ชาร์จ 3 (Fitbit Charge 3™) นวัตกรรมล่าสุดจากฟิตเนสแทรคเกอร์ในตระกูล Charge ตระกูลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล ที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ หรูและพรีเมียมมากขึ้น หน้าจอสัมผัสแบบใหม่ที่ใหญ่ขึ้น อัดแน่นด้วยโหมดเพื่อสุขภาพและการออกกำลังกายมากกว่า 15 โหมดและครั้งแรกกับการใส่ว่ายน้ำเหมือนรุ่นไอออนิคและเวอร์ซ่าได้แล้ว เหมาะสำหรับทุกคนที่ใส่ใจรักสุขภาพ พร้อมเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้คุณลองเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น อีกทั้งตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ สายรัดข้อมือที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ให้เข้ากับทุกโอกาสของคุณ พร้อมสมาร์ทฟีเจอร์ที่ใช้งานร่วมกับสมาร์ทโฟนครบครัน รองรับระบบการชำระเงิน ”ฟิตบิท เพย์” และอายุการใช้งานแบตเตอรีที่ยาวนานถึง 7 วัน
6 ข้อดีของ ฟิตบิท ชาร์จ 3 (Fitbit Charge 3™)
- แดชบอร์ดใหม่ ได้รับการออกแบบให้สามารถเลือกใส่ปุ่มลัดไปยังโหมดออกกำลังกายได้ 6 โหมดจากทั้งหมด 15 โหมด เช่น ปั่นจักรยาน วิ่ง ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก โยคะ ฯลฯ และปรับเปลี่ยนโหมดการออกกำลังกายในแอปฟิตบิทได้ เมื่อเลือกโหมดออกกำลังกายได้แล้ว ก็วางเป้าหมายการเผาผลาญแคลอรี ระยะทางหรือช่วงเวลาที่จะออกกำลัง ดูข้อมูลและความก้าวหยน้าได้แบบเรียลไทม์
- กระโดดลงน้ำ ฟิตบิทชาร์จ 3 สามารถกันน้ำได้ลึกถึง 50 เมตร คุณสามารถใส่อาบน้ำ เล่นน้ำในทะเล หรือเดินตากฝนได้อย่างสบาย ว่ายน้ำในสระกดเลือกปุ่มว่ายน้ำและตรวจสอบจำนวนรอบ ระยะเวลาในการออกกำลัง และแคลอรีที่เผาผลาญ
- เชื่อมต่อกับ GPS ใช้ GPS บนสมาร์ทโฟนเพื่อให้ข้อมูลจังหวะก้าว ระยะทางและความเร็วที่แม่นยำมากขึ้น โดยฟิตบิทจะเก็บข้อมูลการวิ่งและเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของคุณโดยอัตโนมัติ
- ติดตามอัตราการเต้นของหัวใจคุณได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีการวัดอัตราการเต้นของหัวใจ PurePulse ของฟิตบิทชาร์จ 3 ได้รับการพัฒนาให้มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ซึ่งช่วยให้คุณดูโซนการเต้นของหัวใจได้แบบเรียลไทม์ คำนวณปริมาณการเผาผลาญแคลอรีได้ดีขึ้นตลอดทั้งวัน รวมทั้งการดูอัตราการเต้นของหัวใจในระหว่างพักได้ตลอดทั้งวันด้วยเช่นกัน
- ตรวจดูคุณภาพการนอนหลับของคุณ เมื่อใส่ฟิตบิท 3 เข้านอน นาฬิกาจะทำหน้าที่ติดตามระยะเวลาที่คุณใช้ในการนอนอัตโนมัติ ซึ่งรวมถึงช่วงเวลาการนอนหลับตื้น หลับลึก การหลับระยะ REM และระยะเวลาที่ตื่นในแต่ละคืน คุณสามารถตรวจสอบและนำไปปรับปรุงคุณภาพการนอนให้ดีขึ้นได้
- การแจ้งเตือนสุดฉลาด ไม่พลาดทุกการติดต่อด้วยการแจ้งเตือนจากสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นสายเรียกเข้า ข้อความ แจ้งเตือนนัดหมาย สามารถปรับเปลี่ยนการแจ้งเตือนจากแอปฯต่างๆ รวมทั้งปิดการแจ้งเตือนได้