สืบให้ลึกกับความพิเศษที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าวิ่งไนกี้
NIKE FREE FOOTWEAR
อะไรที่ทำให้รองเท้าวิ่งไนกี้ ตระกูลฟรี “NIKE FREE FOOTWEAR” ประสบความสำเร็จและกลายเป็นรองเท้าวิ่งในตำนาน วันนี้เรามาไขความลับที่ซ่อนอยู่ผ่านประวัติการวิวัฒนาการกัน!
จุดเริ่มต้นจากการสังเกต ความสงสัย และการทดลองสู่รองเท้าวิ่งไนกี้ ตระกูลฟรี
ปี 2001 นักออกแบบของไนกี้สังเกตเห็นนักกรีฑาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดวิ่งคูลดาวน์บนพื้นหญ้าด้วยเท้าเปล่า (ตามคำแนะนำของโค้ชที่เชื่อว่าการทำเช่นนี้ช่วยเสริมสุขภาพของเท้า) ด้วยความสงสัยทีมงานของไนกี้จึงศึกษาทฤษฎีนี้ว่า ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์หรือไม่
จากการศึกษาการเคลื่อนไหวของเท้าเปล่าบนพื้นหญ้าเป็นระยะเวลากว่า 1 ปีให้ผลสรุปที่น่าประหลาดใจว่า การเคลื่อนไหวของเท้าเปล่านั้นเป็นธรรมชาติมากกว่าเวลาใส่รองเท้าโดยเฉพาะตอนเท้าแตะพื้น นอกจากนี้การวิ่งด้วยเท้าเปล่ายังช่วยให้เท้ามีความยืดหยุ่นมากขึ้น มีความสมดุลมากขึ้นและเสริมความแข็งแกร่งของเท้าได้อีกด้วย
นักออกแบบของไนกี้เริ่มต้นออกแบบรองเท้าที่ให้ความรู้สึกขณะสวมใส่เหมือนวิ่งด้วยเท้าเปล่ามากที่สุด ด้วยการสร้างต้นแบบรองเท้าวิ่งที่ดูเรียบง่ายและเหมือนรองเท้าแตะมากกว่า เพราะมีเพียงแผ่นยางยึดติดกับผ้าตาข่ายเท่านั้น
นักออกแบบของไนกี้เชื่อว่ารองเท้าต้นแบบนี้น่าจะถูกใจโค้ชกรีฑาของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เพราะรองเท้าแบบนี้ให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งด้วยเท้าเปล่าแต่ยังสามารถปกป้องเท้าจากเศษไม้หรือเศษหินที่แหลมคมได้
จากความตั้งใจแรก เพื่อจำหน่ายทั่วไป แต่เพราะถูกใจผู้บริโภคจึงพัฒนาเป็นรองเท้าวิ่งไนกี้ที่ดีกว่าเดิม
แต่เดิมไนกี้มิได้ตั้งใจผลิตรองเท้าวิ่งตระกูลฟรี (NIKE FREE FOOTWEAR) เพื่อจำหน่ายทั่วไป แต่พนักงานของไนกี้หลายท่านเห็นว่ารองเท้าตระกูลนี้น่าจะถูกใจผู้บริโภค นักออกแบบของไนกี้จึงต้องนำต้นแบบแรกมาพัฒนาเป็นรองเท้าวิ่งที่สามารถให้ความรู้สึกเหมือนวิ่งเท้าเปล่าบนพื้นหญ้า และรูปแบบของรองเท้าต้องมีรากฐานจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น เพราะนักออกแบบของไนกี้ต้องการหาคำตอบเช่นกันว่ารองเท้าวิ่งแบบใดจึงจะช่วยให้ผู้สวมใส่วิ่งได้อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด
รูปลักษณ์แรกๆ ของรองเท้าวิ่งตระกูลฟรีนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากของเล่นไม้ที่สลักเป็นรูปงูซึ่งมีกลไกที่เลื่อนขึ้นได้ เพื่อจำลองการเลื้อยของงู นักออกแบบของไนกี้ทดลองเพิ่มรอยบากเล็กๆ ที่ส่วนล่างสุดของพื้นรองเท้าเล็กน้อย เพื่อศึกษาว่าพื้นรองเท้าจะสามารถขยับหรือยืดหดตัวให้เข้ากับความรู้สึกลื่นไหลขึ้นหรือไม่ ซึ่งคำตอบก็คือได้
จากนั้นนักออกแบบของไนกี้ทดลองเปลี่ยนพื้นรองเท้าเป็นวัสดุโฟมที่มีรอยบากเล็กๆ และเสริมรอยบากที่หน้ารองเท้า จากการศึกษานักออกแบบของไนกี้พบว่ารอยบากเล็กๆ ที่เป็นแนวยาวบริเวณหน้าเท้านั้นส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเท้า ซึ่งไนกี้ทดลองซ้ำอีกครั้งด้วยการใช้รูปแบบของรอยบากหรือความลึกของรอยบากที่แตกต่างกันเพื่อค้นหารูปแบบที่ดีที่สุด
ในที่สุด ไนกี้ได้วางจำหน่ายรองเท้าตระกูลฟรีรุ่นแรก คือรุ่น 5.0 สำหรับวิ่งและรุ่น 5.0 สำหรับออกกำลังกายทั้งของสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี 2004