Travel On Budget
หลงแสงสีของไฟนีออนและ
อร่อยกับสตรีทฟู้ด ณ เยาวราช
ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งเดือน พอต้นเดือนก็ต้องให้รางวัลตัวเองสักหน่อย Travel On Budget เดือนนี้เลยจะพา
คุณไปทัวร์เยาวราชในอีกมุมมอง พร้อมชิมสตรีทฟู้ดเลื่องชื่อแบบไม่อั้น แน่นอนว่างบฯ ในกระเป๋าไม่เยอะอย่างที่คิด เพราะเราคิดมาเผื่อคุณแล้วว่าไม่เกิน 500 บาทแน่นอน
แรกเริ่มเราตั้งคอนเซ็ปต์ให้ทริปนี้ว่า ‘เยาวราชในมุมมืด’ แน่นอนว่าเราไม่ได้จะพาคุณไปทัวร์เยาวราชในมุมมืดจริงๆ แต่เป็นการไปเดินเล่นชมแสงสียามค่ำคืน โดยเฉพาะเสน่ห์ของไฟนีออนซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของเยาวราช ถ้าพร้อมแล้ว ตามเราไปกันเลย!!
ปักหมุดจุดสตาร์ทนัดแก๊งเพื่อนที่ “วงเวียนโอเดียน”
เช่นเคยก่อนที่จะเริ่มทริป ต้องรอแก๊งเพื่อนที่นัดหมายเดินทางมาพบกันก่อน ซึ่งจุดสตาร์ทหรือจุดนัดหมายของเรา เราเลือก “วงเวียนโอเดียน” อีกหนึ่งแลนด์มาร์คของเยาวราชที่เหมาะกับการนัดพบ เพราะตั้งอยู่หัวถนนเยาวราช การเริ่มสตาร์ทการเดินทางจากจุดนี้จะทำให้การดำเนินทริปง่ายขึ้น
วงเวียนโอเดียนเป็นแลนด์มาร์คที่อยู่คู่ถนนเยาวราชมาช้านาน โดยแรกเริ่มพื้นที่จุดนี้เป็น ‘ลานน้ำพุ’ ที่ให้คนในชุมชนมาพักผ่อนหย่อนใจ หลังจากนั้นถูกปรับปรุงให้เป็นซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา ส่วนชื่อที่เรียกขานว่าวงเวียนโอเดียนนั้นก็มาจากโรงภาพยนตร์โอเดียนของค่ายรามาที่เคยตั้งอยู่ในย่านนี้ คำเรียกวงเวียนโอเดียนจึงกลายเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกขานสถานที่แห่งนี้ เพราะเรียกง่ายกว่านั่นเอง
ไม่ไกลจากวงเวียนโอเดียนคือที่ตั้งของ ‘วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร’ ซึ่งระหว่างรอเพื่อนมากันให้ครบแก๊ง เราสามารถเข้าไปสักการะขอพรได้ หรือใครจะเริ่มทริปจากจุดนี้ก็ไม่ว่ากัน
เก็บรายละเอียดระหว่างทาง แวะสักการะศาลเจ้าแม่กวนอิม เสพย์สถาปัตยกรรมจีนที่งดงาม
เดินจากวงเวียนโอเดียนมาไม่ไกลนัก ระหว่างทางจะพบ “ศาลเจ้าแม่กวนอิม มูลนิธิเทียนฟ้า” ซึ่งศาลเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนไทยนิยมมาสักการะเพื่อปัดเป่าโรคภัยไข่เจ็บ โดยเทพองค์ประธานสันนิฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถังและถูกอัญเชิญจากเมืองจีนมาประดิษฐานที่ไทยเมื่อปี 2501
นอกจากการสักการะของพรแล้ว สิ่งที่น่าสนใจคือสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ที่แม้จะมีการปรับปรุงใหม่ แต่ยังคงรักษาเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมโบราณเอาไว้จนน่ายกย่อง และกลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คบนถนนเยาวราช
เริ่มต้นความสนุกกันที่คาเฟ่สวยเก๋ “Lhong Tou Cafe”
• (ร้านหยุดวันจันทร์) เวลา 09.00 – 21.00 น.
• บริเวณแยกเฉลิมบุรี ถนนเยาวราช
เพราะเราได้ยินว่าบนถนนเยาวราชมีคาเฟ่เปิดใหม่ที่เก๋ไก๋แถมอาหารยังอร่อย เราจึงไม่พลาดที่จะแวะคาเฟ่แห่งนี้กันก่อน ณ “หลงโถวคาเฟ่” (Lhong Tou Cafe)
สำหรับคาเฟ่แห่งนี้ถือเป็นน้องใหม่บนถนนเยาวราช โดยอยู่ใกล้แยกเฉลิมบุรี เป็นตึกแถวหนึ่งคูหาที่มีหน้าร้านกลมกลืนไปกับบริบทรอบๆ โดยเฉพาะเมื่อหลงโถวคาเฟ่เข้าใจถึงความเป็นเยาวราช ตั้งแต่การออกแบบ ชื่อร้าน ป้ายไฟไฟนีออนหน้าร้านตลอดจนอาหารและเครื่องดื่มที่เสิร์ฟก็เป็นสไตล์จีน
ความตั้งใจของร้านนี้คือการเป็นร้านกาแฟของผู้คนที่ใช้ชีวิตในเยาวราช รวมทั้งเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายใหม่บนถนนเส้นนี้ที่อยากให้นักท่องเที่ยวจดเอาไว้ในลิสต์เมื่อมาเยือนเยาวราช ไม่ใช่คาเฟ่ที่ให้วัยรุ่นแวะมาประเดี๋ยวประด๋าว ดังนั้นนอกเหนือจากการออกแบบที่โดดเด่นชวนสะดุดตาแล้ว เมนูอาหารและเครื่องดื่มของร้านยังคัดวัตถุดิบที่อยู่คู่เยาวราชมานำเสนอใหม่ในรูปแบบโมเดิร์นขึ้น พร้อมนำเสนอในราคาที่ทุกคนเข้าถึง สามารถแวะมากินได้ทุกวัน เพื่อให้ที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของเยาวราชอย่างแท้จริง
อาหารของที่นี่จะเป็นเมนูติ่มซำ แต่ให้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ เสิร์ฟมาขนาดพอเหมาะ อย่าง Mala Fried Chicken (79 บาท) ไก่ที่นำไปชุปแป้งทอด ก่อนจะคลุกเคล้าด้วยผงหม่าล่ามาเติมรสความอร่อย ต่อด้วย Lhong Tou Shumai (69 บาท) ขนมจีบหลงโถวที่มีขนาดใหญ่กว่าขนมจีบทั่วไป ภายในเป็นไส้หมูที่ผสมกับกุยช่ายจนได้ความร่อยที่ลงตัว อีกหนึ่งเมนูที่ต้องสั่งเมื่อแวะมาเยือนคือ Egg Lava Bun (29 บาท) ซาลาเปาไส้ไหลที่เปลี่ยนจากซาลาเปานึ่งเป็นซาลาเปาทอดให้ความกรอบนอกนุ่มใน พร้อมกับไส้ไหลเยิ้มชวนฟิน
ส่วนเมนูเครื่องดื่มที่แนะนำว่าห้ามพลาด ต้องยกให้กับ Lhong Tou’s Signature Thai Milk Tea (75 บาท) เมนูชาไทยที่หอมชาไทยแท้ๆ เติมรสสัมผัสด้วยขนมตุบตับ หรือหากอยากได้เครื่องดื่มร้อนๆ เอาไว้ดื่มแก้เลี่ยน แนะนำให้ดื่ม Flower Tea (180 บาท/Pot) ชาดอกไม้สไตล์จีนที่ให้กลิ่นหอมหวานดื่มแล้วชวนชื่นใจ
ฟ้าเริ่มมืด จึงเริ่มตะลุยทัวร์ถนนเยาวราชอย่างแท้จริง เริ่มต้นความอร่อยกันที่ “ขนมปังเจ้าอร่อยเด็ดเยาวราช”
• (ร้านหยุดวันจันทร์) เวลา 09.00 – 21.00 น.
• บริเวณแยกเฉลิมบุรี ถนนเยาวราช
สถานที่เที่ยวก่อนหน้าเป็นเพียงออร์เดิร์ฟที่เรานำมาเสนอระหว่างรอฟ้ามืด และรอให้ร้านรวงสตรีทฟู้ดเปิดอย่างคึกคัก หลังจากนี้คือการทัวร์และไปหลงแสงสีของเยาวราชอย่างแท้จริง
โดยสตรีทฟู้ดเจ้าแรกที่เราปักหมุดว่าต้องกินให้ได้คือ “ขนมปังเจ้าอร่อยเด็ดเยาวราช” ขนมปังไส้ไหลหลากรสที่มีลูกค้ามาต่อแถวยาวเหยียด (กว่าเราจะได้ขนมปังก็ต้องยืนรอกว่า 30 นาที) ถ้าถามว่าทำไมขนมปังเจ้านี้จึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม คำตอบมีสั้นๆ ว่าเพราะมันอร่อย
ไม่ว่าจะเป็นตัวขนมปังที่ปิ้งด้วยถ่านจะให้หอมกลิ่นถ่านอ่อน ขณะเดียวกันด้วยฝีมือการปิ้งที่ชำนาญทำให้ขนมปังกรอบนอกแต่นุ่มใน ขณะที่ไส้ก็มีรสอร่อยหวานกำลังดี แถมยังให้แบบไม่อั้นจนเยิ้มจนได้ชื่อว่าขนมปังไส้ไหล โดยมี 8 รสชาติให้เลือกชิม
ส่วนการสั่งซื้อ เพียงแค่รับบัตรคิวและเขียนชื่อ พร้อมด้วยจดออร์เดอร์ขนมปังไส้ที่เราอยากกิน (บัตรคิวกับใบสั่งขนมปังคือใบเดียวกัน) หลังจากนั้นหย่อนลงกล่องที่เจ้าของร้านเตรียมไว้ แล้วรอเรียกคิว แนะนำว่าอย่าตกใจเมื่อเห็นคิวยาว อาจรอนานสักนิด แต่รับรองว่าเมื่อได้ลิ้มลองจะลืมความนานที่ต้องรอคิวไปเลย
บะหมี่ปูที่ห้ามพลาดเมื่อมาเยาวราชกับร้าน “มังกรขาว”
• (หยุดวันจันทร์) เปิด 18.00 – 24.00 น.
• ปากซอยถนนเยาวพานิช (ซอยศาลเจ้าแม่วัดประดู่)
• บะหมี่ชามละ 70 – 80 บาท
สถานีต่อไปคือการลิ้มลอง ‘บะหมี่ปู’ เลื่องชื่อ ณ “ร้านมังกรขาว” ที่หลายคนยกย่องให้เป็นอีกหนึ่งสตรีทฟู้ดอร่อยเด็ดประจำถนนเยาวราช และเราก็เห็นด้วย เพราะบะหมี่ร้านนี้อร่อยสมชื่อ โดยเมนูที่ให้เลือกจะมีไม่กี่อย่าง ซึ่งวัตถุดิบหลักๆ ของร้านก็จะมีเกี๊ยวกุ้ง เนื้อปู หมูแดง และเส้นบะหมี่ พร้อมด้วยขนมจีบให้กินเล่น ราคาตกอยู่ประมาณ 70 – 80 บาทต่อชาม
ถ้าถามว่าควรลองอะไร แนะนำให้สั่งบะหมี่มาแบบจัดเต็ม โดยเฉพาะเส้นบะหมี่ที่ทางร้านลือกใช้เส้นบะหมี่ทำสดใหม่ จึงเหนียวและนุ่ม ให้ความรู้สึกละมุนซึ่งเป็นเคล็ดลับความอร่อยของร้านนี้เลย ผสานกับน้ำซุปที่เข้มข้นรสกำลังดี และเครื่องเคียงอย่างเกี๊ยวกุ้งเต็มคำ เนื้อปูแม้จะไม่เยอะมากมาย แต่ก็ไม่น้อยจนน่าเกลียด ส่วนหมูแดงก็เด็ดไม่แพ้กัน เมื่อความอร่อยมารวมกันจึงกลายเป็นบะหมี่เกี๊ยวกุ้ง ปู หมูแดงที่ลง
หน้าโรงหนังไชน่าทาวน์มี “ก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา” ซ่อนอยู่
• (หยุดวันจันทร์) จันทร์ – เสาร์ เปิด 18.00 – 03.00 น. และอาทิตย์ 18.00 – 24.00 น.
• หน้าโรงหนังไชน่าทาวน์ ถนนเยาวราช
• ธรรมดาชามละ 50 บาท พิเศษ 100 บาท เพิ่มไข่บวกอีก 10 บาท
หากมีโอกาสได้มาเดินเยาวราชช่วงกลางวัน อยากแนะนำให้ลองแวะไปดูหนังกันที่โรงภาพยนตร์ไชน่าทาวน์แห่งนี้ เพราะโรงหนังแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งโรงหนังเก่าแก่ของไทย แม้สภาพแวดล้อมโดยรอบอาจไม่สะอาดตาน่าดูเหมือนโรงหนังชั้นนำ แต่ก็มีเสน่ห์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่หากมาเยือนเยาวราชยามค่ำคืนเหมือนเรา หน้าโรงหนังไชน่าทาวน์จะถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ตั้งของ “ก๋วยจั๊บอ้วนโภชนา” หนึ่งในร้านอาหารที่มิชลินไกด์แนะนำ และจัดให้เป็นร้านอาหารอร่อยคุ้มค่าในราคาย่อมเยา ความอร่อยของร้านนี้การันตีผ่านอายุของร้านที่เปิดมากว่า 50 ปี โดยรสชาติของก๋วยจั๊บที่นี่ต้องบอกว่ามีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่าจะเป็นเส้นก๋วยจั๊บที่เหนียวนุ่ม หมูกรอบที่กรอบจริงจัง ขณะที่น้ำซุปก็ให้รสเผ็ดร้อนของพริกไทย จนหลายคนแอบเรียกร้านนี้ว่าก๋วยจั๊บพริกไทย ส่วนราคาต่อชาม หากสั่งธรรมดาชามละ 50 บาท พิเศษ 100 บาท เพิ่มไข่บวกอีก 10 บาท
อย่าเพิ่งอิ่ม ไปกินหอยแครงขึ้นชื่อในซอยเท็กซัสกันก่อนที่ร้าน “ป้าจินหอยแครงลวก”
• เปิดทุกวัน เวลา 18.00 – 24.00 น.
• กลางซอยพิพากษา 2 (ซอยเท็กซัส)
• หอยแครงจานละ 100 บาท, หอยแมลงภู่อบสมุนไพร 100 บาท และกุ้งอบวุ้นเส้น 350 บาท
ร้านสุดท้ายของค่ำคืนนี้ที่ต้องกินให้ได้กับ “ป้าจินหอยแครงลวก” ร้านอาหารทะเลที่เสิร์ฟความอร่อยมาเอาใจสายหอย เป็นอีกหนึ่งร้านเก่าแก่ของเยาวราชที่มีคนต่อคิวยาวมากอีกร้าน
แน่นอนว่าความอร่อยของร้านนี้คงหนีไม่พ้นหอยแครงที่สดใหม่ แถมยังตัวใหญ่เต็มคำ โดยมีให้เลือกแบบทั้งลวกและเผา เสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ด แต่จะนั่งกินหอยแครงอย่างเดียวอาจไม่สนุก เราเลยเพิ่มความอร่อยด้วย หอยแมลงภู่อบสมุนไพรกับกุ้งอบวุ้นเส้น
จุดเด่นของร้านนี้นอกจากรสชาติ ความสดใหม่และความสะอาดของวัตถุดิบ รวมทั้งน้ำจิ้มรสแซ่บแล้ว คงเป็นราคาที่ลูกค้าเข้าถึงในปริมาณที่สมราคา อย่างหอยแครงซึ่งขายเพียงจานละ 100 บาท หอยแมลงภู่อบสมุนไพรจานละ 100 บาทเช่นกัน ส่วนกุ้งอบวุ้นเส้นชามละ 350 บาท แต่มาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตๆ ถึง 4 ตัว ขณะที่วุ้นเส้นก็ให้มาล้นจาน เรียกได้ว่าหากมาร้านนี้เป็นร้านแรกคงอิ่มพุงกางก่อนจะได้แวะกินอย่างอื่น
ถึงเวลากลับบ้านแล้ว แต่อยากเดินย่อยก่อนเลยเลือกเดินผ่านวัดมังกร
หลายคนอาจมองเป็นเรื่องตลกที่เราไปถ่ายรูปหน้า “วัดมังกรกมลาวาส” ยามค่ำคืน เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าวัดมังกรคงปิดประตูเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยความสงสัยว่าประตูใหญ่วัดมังกรเมื่อปิดสนิทจะเป็นอย่างไร และไหนๆ ก็มาทัวร์เยาวราชทั้งที จะไม่แวะมาวัดมังกรก็รู้สึกเหมือนมาไม่ถึง เราเลยตัดสินใจแวะไปดูสักหน่อย ถือเป็นการจบทริปอย่างสมบูรณ์
“วัดมังกรกมลาวาส” หรือ ‘วัดเล่งเน่ยยี่’ ถือเป็นวัดเก่าแก่อีกแห่งของย่านนี้ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2414 ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 8 ปีจึงจะแล้วเสร็จ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมจีนตอนใต้ของสกุลช่างแต้จิ๋ว มีการวางแปลนแบบวัดหลวง เป็นวัดจีนที่ผู้คนหลั่งไหลไปสักการะบูชาอยู่เสมอ และเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่แนะนำให้แวะไปขอพร
Photographer: Wara Wuttiwan
Videographer: Sroisuwan.T
Writer: Taliw