ร้อนนักก็ไปพักร้อนกันที่ ‘หมู่บ้านชนบทสไตล์ยุโรป’

ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวและพระอาทิตย์แผดเผาที่เพียงแค่เดินออกจากบ้านตัวก็เปียกโชกด้วยเหงื่อเหมือนมีใครเอาน้ำมาสาดรับสงกรานต์ และด้วยความร้อนที่เรียกทั้งหยดเหงื่อและกลิ่นเหงื่อ จะมีอะไรดีไปกว่าการได้ไปเที่ยวรับซัมเมอร์ ยิ่งถ้าได้ไปเหยียบหาดทรายขาวละเอียด พร้อมปล่อยผมให้ปลิวไสวตามแรงลม และได้ไปฟังเสียงดนตรีจากคลื่นกระทบฝั่งด้วยแล้ว คงเป็นการพักผ่อนที่แสนจะสุขี ว่าแล้วก็ไม่รอช้ารีบชวนก๊วนเพื่อนบึ่งรถไปคลายร้อนกันที่พัทยากันเลย!

แต่จะไปนั่งรับลมทะเลอย่างเดียวก็ดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าน้ำมันสักเท่าไร เราจึงเพิ่มความสนุกให้การเดินทางครั้งนี้ด้วยการไปเยือน A La Campagne หมู่บ้านชนบทสไตล์ยุโรป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอยากไปสัมผัสความคลาสสิกของสถาปัตยกรรมเสมือนจริง พร้อมถ่ายรูปเก๋ๆ ไปอวดเพื่อนๆ ในโซเซียลมีเดีย อีกเหตุผลเป็นเพราะหมู่บ้านนี้อยู่ระหว่างเส้นทางของแผนการเดินทาง โดยโครงการตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท เลยตลาดน้ำสี่ภาคมาเล็กน้อย ก่อนถึงแยกไฟแดงห้วยใหญ่ จึงไม่เสียเวลาหากจะแวะไปนั่งชิลกันสักชั่วโมงสองชั่วโมง

A La Campagne Pattaya

ทันทีที่รถเลี้ยวเข้าจอด แสงแดดเจิดจ้าก็เข้ามาทักทายเราสมกับเป็นช่วงซัมเมอร์ ใจหนึ่งก็อิดออดไปอยากลงไปเพราะกลัวร้อน แต่อีกใจก็อยากไปเที่ยวชมความงามของหมู่บ้านชนบทสไตล์ยุโรป ทันทีที่เปิดประตูลงไปก็มีลมเอื่อยๆ พัดผ่านช่วยคลายร้อนให้เราได้เป็นอย่างดี และเรายิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปสุดคลาสสิกที่รายล้อมด้วยสีเขียวจากต้นไม้น้อยใหญ่ ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้ร่มรื่นและน่าเที่ยวมากกว่าที่คิด

ระหว่างที่เรากำลังสำรวจสถาปัตยกรรมหลังที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้พบกับเจ้าของไอเดียและหุ้นส่วนคนสำคัญของที่นี่ คุณเก๋ – ชมพูนุท อิ่มอุดม เราจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปพูดคุยตามประสาคนอัธยาศัยดี จนได้รู้ที่มาที่ไปของโครงการนี้ ตั้งแต่ชื่อโครงการ A La Campagne ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ‘ณ ที่ชนบท’ พร้อมคอนเซ็ปต์ที่เล่าเป็นพล็อตเรื่องแสนเก๋ของที่นี่ว่า ที่ตรงนี้เป็นเสมือนหมู่บ้านร้างในชนบทของยุโรป ซึ่งบังเอิญมีนักเดินทางชาวไทยไปพบหมู่บ้านร้างแห่งนี้เข้า จึงปรับเปลี่ยนหมู่บ้านร้างให้กลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

A La Campagne Pattaya

เพราะเราเดินทางไปถึง A La Campagne เป็นเวลาเที่ยง ทำให้กระเพาะอาหารร้องประท้วงขอเติมพลัง เราจึงไม่รอช้าที่จะไปชิมอาหารจานเด็ดเป็นมื้อเที่ยงของวันนี้กับร้านที่มีชื่อว่า SOMTUM VILLA ร้านอาหารอีสานแบบโอเพ่นแอร์ในบรรยากาศคลาสสิกของสถาปัตยกรรมเสมือนโบสถ์ประจำหมู่บ้าน โดดเด่นด้วยหน้าต่างสไตล์โกธิคสูงจากพื้นจรดเพดาน แม้จะไม่มีแอร์มาดับความร้อนของอาหารอีสานรสแซ่บ แต่บรรยากาศภายในร้านกลับเย็นสบายด้วยลมพัดเอื่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ส่วนจานเด็ดที่ห้ามพลาดของร้านนี้ คงไม่พ้น ‘ส้มตำ วิลล่า’ เมนูชื่อเดียวกันกับชื่อร้าน ซึ่งจานนี้เป็นส้มตำฟิวชั่นที่ผสมผสาน ‘ส้มตำไทย’ กับ ‘ซีฟู้ด’ ได้อย่างกลมกล่อม ทานคู่กับข้าวเหนียวดำที่ให้สัมผัสกรุบกรอบอร่อยจนต้องยกนิ้วให้

A La Campagne Pattaya

จบจากอาหารคาวก็ต้องล้างปากด้วยขนมหวานตามประสาสาวๆ เราจึงยกขบวนจากร้านส้มตำ วิลล่าเดินตัดสวนร่มรื่นและซุ้มประตูโค้งสู่โรงผลิตชาย้อนยุค TEA FACTORY AND MORE โรงชาแบบศรีลังกาที่โดดเด่นด้วยเรือนกระจกสไตล์ยุโรป เพิ่มความดิบให้สมกับเป็นหมู่บ้านในชนบทด้วยสังกะสี ไม้เก่า และปูนเปลือย เติมเต็มความสมบูรณ์ด้วยเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งสไตล์แอนทีค

ที่ร้านนี้เสิร์ฟชาหลายแบบ ทั้งชาซิงเกิ้ลออริจิ้น (Single origin teas) ชาสกัดเย็น และชาเบลนด์ (Blend Tea) โดยเราเลือกที่จะดื่ม La Vie En Rose ชาสกัดเย็นกุหลาบที่เสิร์ฟในขวดแก้วเก๋ไก๋กับ Oolong 10,000 Miles ชาอู่หลงรสนุ่มชุ่มคอ ทานคู่กับ Sakura Moasse Cake เมนูขนมหวานซึ่งเป็นนางเอกของร้าน

A La Campagne Pattaya

เสร็จจากการทานของหวานแล้ว ก็ถึงเวลาเดินย่อยพร้อมถ่ายภาพไปอวดเพื่อนๆ โดยเราเริ่มเดินจากหน้าร้าน Tea Factory and More ผ่านประตูซุ้มโค้ง เมื่อเดินลอดซุ้มเข้าไป ด้านหน้าจะเห็นหน้าต่างสไตล์โกธิคสุดคลาสสิกของร้านส้มตำ วิลล่า ส่วนซ้ายมือจะเป็น SHOP AND GALLERY ของโครงการ เมื่อเราไปเยือนร้านส้มตำมาแล้ว เราจึงเลือกเดินทางไปเยี่ยม Shop and Gallery แทน

ที่ Shop and Gallery เป็นสิ่งปลูกสร้างเสมือนบ้านของชาวบ้านที่เปิดประตูต้อนรับนักเดินทาง ภายในมีบรรยากาศสบายๆ และอัดแน่นด้วยงานหัตถศิลป์และศิลปะ ซึ่งวางจำหน่ายเป็นของฝากที่ให้เราได้หยิบติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้าน โดยสินค้าของที่นี่ล้วนเป็นงานคราฟท์และเป็นของ Made in Thailand ทั้งสิ้น ตั้งแต่ฝาชีรูปทรงโมเดิร์นแต่เจอกลิ่นอายไทยไทยไว้อย่างลงตัว ผ้าย้อมครามจากสกลนครที่สวยหรูแบบไทย และเทียมหอมกลิ่นดอกไม้ไทย เป็นต้น

A La Campagne Pattaya

ระหว่างที่เราเดินช็อปอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นทางเชื่อมสู่อีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างจาก Shop and Gallery จึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปเยี่ยมชม จึงได้รู้ว่าที่ตรงนี้คือร้าน LA ROUGE WINE BAR บาร์เครื่องดื่มที่คอยต้อนรับนักเดินทางยามค่ำคืนนั่นเอง บาร์แห่งนี้ตกแต่งในสไตล์ยุโรปไม่แตกคอนเซ็ปต์ของโครงการ แต่กลับมีเสน่ห์และชวนหลุมหลงด้วยความคลาสสิกและหรูหราสไตล์วิคตรอเรีย

หลังจากสำรวจ Shop and Gallery และ La Rouge Wine Bar จนอิ่มตาอิ่มใจแล้ว เราก็เดินจากประตูด้านข้างของ Shop and Gallery เพื่อพบกับลานน้ำพุที่โดดเด่นด้วยประติมากรรมทั้งสิงโตพ่นน้ำที่ชวนให้คิดถึง Merlion จุดกึ่งกลางของน้ำพุเป็นเสาที่ด้านบนประดับด้วยประติมากรรมรูปนางฟ้าเป่าขลุย มองเลยไปอีกนิดจะเห็นหอระฆังที่ช่วยเสริมให้ A La Campagne เป็นหมู่บ้านชนบทสไตล์ยุโรปสมจริงยิ่งขึ้น

 

แม้จะเดินเล่นท่ามกลางแสงแดดในยามบ่าย แต่ตลอดการเดินชมสวนก็มีลมพัดคลายร้อนพร้อมเป่าเหงื่อให้แห้งอยู่เสมอ การเดินชมสวนในยามบ่ายจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก ออกจะสนุก และทำให้ได้รูปสวยๆ จากแสงดีๆ ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อสวนแห่งนี้มีร่มเงาของไม้ใหญ่ให้ความร่มรื่นและยังให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ

ปิดท้ายการเยือนหมู่บ้านชนบทสไตล์ยุโรปแห่งนี้ด้วยความสดใสและช่างเล่นของน้องลูซี่ สัตว์เลี้ยงวัยซนของคุณเก๋ที่วิ่งมาส่งเราอย่างเป็นมิตรด้วยการกระโดดขึ้นรถที่เราเปิดประตูทิ้งไว้จนคุณเก๋ต้องตามมาอุ้มไว้ เพราะท่าทางน้องลูซี่คงอยากไปส่งเราถึงกรุงเทพแน่เลย ^^

 

Address : ถนนสุขุมวิท ตรงข้ามอัยการพัทยา ก่อนถึงสี่แยกห้วยใหญ่ กม.153
GPS : 12.859586,100.909252
Time : เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ – พฤหัสบดี เวลา 10.00 – 20.00 น. และศุกร์ – อาทิตย์ เวลา 10.00 – 22.00 น.
Phone : 061 – 441 – 5181
Facebook : www.facebook.com/A-La-Campagne-Pattaya

 

Story : Taliw
Photo : Wara Suttiwan and Beck Sabbath
keyboard_arrow_up