บนถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนในย่านหัวลำโพง ใครจะรู้ว่ายังมีคาเฟ่แสนเก๋ซุกซ่อนอยู่ จึงไม่แปลกหากทันทีที่เราไปเยือนคาเฟ่แห่งนี้จะเกิดอาการหลงใหลไปกับเสน่ห์ของบรรยากาศหม่นๆ ในโทนสีเทาที่ผสมผสานกับความดิบเท่แต่เนี้ยบในสไตล์ Modern Industrial Loft ไว้อย่างลงตัว
โดยคาเฟ่แห่งนี้ใช้ชื่อว่า WANDERLUST BKK ที่มีความหมายว่า ‘ผู้ที่เสน่หาในการเดินทาง’ เพื่อบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้นของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งพักพิงของนักเดินทางจากต่างแดน โดยเฉพาะเมื่อชั้นบนเป็นโฮสเทลเปิดใหม่ของแบรนด์ 2W ซึ่งนับได้ว่าเป็นสาขาที่ 3 นั่นเอง (สาขาแรกคือ 2W café & bed @ภูเก็ต ส่วนสาขาที่สองคือ 2W Koh Samui Beach Hostel)
“จริงๆ แล้วเราเป็นคนกรุงเทพฯ เราก็เริ่มมีไอเดียที่จะมาเปิดธุรกิจที่กรุงเทพฯ เนื่องจากความคิดที่ว่า เราอยากให้ครอบครัวมีธุรกิจที่ทำแล้วมีความสุข คุณแม่สามารถเกษียณจากที่ทำงานแล้วมาช่วยเราดูแล มาทำงานที่ทำให้เขาแฮปปี้ แต่ด้วยความที่เราทำโฮสเทลมา 3-4 ปี เราได้รับฟีดแบ็กที่ดีจากคนรอบข้าง แล้วก็มีคนสนใจอยากร่วมทุนกับเรา มาขยายธุรกิจให้โตขึ้น เราก็เลยเซ็ตอัพโปรเจ็คนี้ขึ้นที่กรุงเทพ และก็ต้องหยุดโปรเจ็คของที่บ้านเอาไว้ก่อน” คำบอกเล่าของคุณเมย์ – จักกพัฒน์ วงศ์โสภา ผู้ริเริ่ม 2W และ Wanderlust Bkk
โดยคุณเมย์ได้เปลี่ยนตึกแถวที่มีสภาพทรุดโทรมจากการทิ้งร้างมากว่า 10 ปี บนถนนพระราม 4 ใกล้สถานีหัวลำโพงให้กลายเป็นคาเฟ่และโฮสเทลที่เต็มไปด้วยเสน่ห์จากการดีไซน์ โดยการตัดสินใจเช่าอาคารหลังนี้ กลับกลายเป็นเรื่องราวดีๆ เมื่อคุณเมย์สืบทราบมาว่าอาคารหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิหนึ่ง ดังนั้นเงินทุกบาทที่ทางร้านจ่ายเช่าจะถูกส่งไปสมทบทุนให้กับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งทำให้หุ่นส่วนคนสำคัญทั้งคุณเมย์, คุณปุ๊กกี้ – สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์ และคุณชาย โตปิยะบุตร มีแรงใจที่จะทำคาเฟ่และโฮสเทลแห่งนี้ยิ่งขึ้น รวมทั้งคุณต้น, คุณบอย และคุณชาติ ทีมงานที่อยู่เบื้องหลังต่างให้ความใส่ใจกับการทำโปรเจ็คนี้เช่นกัน
“…เราไม่ได้เป็นกาแฟที่ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นอาหารที่ดีที่สุด แต่เราเป็นที่พักและมีคาเฟ่ที่ให้บริการอาหารที่ดี บวกกับกาแฟที่มีรสชาติดี”
แม้ Wanderlust bkk จะมีจุดเริ่มต้นจากธุรกิจที่พักแรมและชั้นบนของคาเฟ่ยังเป็นโฮสเทล แต่คาเฟ่แห่งนี้ก็แยกตัวเป็นเอกเทศ จึงมีคอนเซ็ปต์และไอเดียทั้งการตกแต่งและการเสิร์ฟอาหารที่เป็นอิสระและแตกต่างกัน
“จริงๆ แล้วคาเฟนี้เป็นสไตล์ Modern Loft Industrial in Gray Tone ที่อยากนำเสนออะไรใหม่ๆ ให้คนที่อยู่กรุงเทพ เรามองว่า เราไม่ได้เป็นกาแฟที่ดีที่สุด เราไม่ได้เป็นอาหารที่ดีที่สุด แต่เราเป็นที่พักและมีคาเฟ่ให้บริการอาหารที่ดี บวกกับกาแฟที่มีรสชาติดี”
จุดเด่นที่ชวนหลงใหลของคาเฟ่แห่งนี้คงเป็นบรรยากาศและการตกแต่ง ซึ่งเน้นโทนสีเทา หรือ Grayscale ผสมผสานกับความดิบแต่เนี้ยบของสไตล์ modern industrial loft ไม่ว่าจะเป็นผนังปูนเปลือยสีเทาเนี้ยบๆ หรือการใช้เหล็กสีเทาในการตกแต่งและแบ่งพื้นที่ครัว นอกจากนี้บนผนังเท่ๆ ยังมีภาพถ่ายสวยๆ จากศิลปินหลากท่านให้เราได้ชมอีกด้วย โดยภาพถ่ายเหล่านี้เป็นภาพที่ทาง Wanderlust bkk เปิดพื้นที่ให้นักถ่ายภาพนำมาแขวนโชว์ พร้อมบริการฝากขาย
“…เราอยากใส่ความเฮลตี้เข้าไปในอาหาร ขณะเดียวกันความเฮลตี้ที่เราให้เขา เขาก็ต้องมีความสุขในการกินด้วย”
ส่วนเมนูอาหารที่เสิร์ฟนั้น ที่นี่เน้นเสิร์ฟอาหารบรันช์ในสไตล์เมลเบิร์น หรือ Melbourne Brunch ที่ผสมผสานกับเสน่ห์ของอาหารหลายสัญชาติอย่างลงตัว โดยแทรกความใส่ใจเรื่องสุขภาพเข้าไปด้วย โดยมีเชฟเอ – เชฟที่สั่งสมประสบการณ์การทำอาหารจากเมลเบิร์นมาหลายปีมาเป็นเชฟใหญ่
“ไลฟ์สไตล์การทานอาหารบรันช์ค่อนข้างเป็นที่นิยมในบ้านเรา แล้วผมเองก็มองว่าอาหารบรันช์ไม่จำเป็นที่ต้องเป็นอาหารเช้า อย่างไส้กรอก ไข่ดาว แต่เราสามารถทำให้มันหลากหลายได้ โดยใช้ส่วนผสมต่างๆ ที่เราคิดไม่ถึง เอามาผสมกันให้มันลงตัว เราสามารถเอาอาหารบรันช์ไปครีเอทให้มันลงตัวได้ ให้เหมาะกับการทานทั้งเช้า สาย และบ่าย
และเราก็มองเห็นว่าอาหารสไตล์เมลเบิร์นเป็นอะไรที่เหมาะสม เพราะว่ามันค่อนข้างจะหลากหลายและค่อนข้างเป็นไลฟ์สไตล์ที่ชัดเจนในปัจจุบัน ซึ่งอาหารสไตล์เมลเบิร์น จริงๆ แล้วเป็นฟิวชั่นฟู้ด ซึ่งเราสามารถเอาวัตถุดิบจากที่ไหนก็ได้มารวมอยู่ในจานๆ หนึ่ง”
เริ่มจากเมนูที่มีกลิ่นอายความเป็นเมลเบิร์นอย่าง Braised Mushroom W. Soft Polenta (250 บาท) ซึ่งเชฟนำเมล็ดข้าวโพดไปบดละเอียดแล้วตุ๋นกับน้ำซุปไก่นานถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งเชฟบอกกับเราว่าข้าวโพดบดตุ๋นนี้เป็นเมนูที่ลดคาร์โบไฮเดรตและสามารถทานแทนโจ๊กได้ โดยให้รสเค็มนิดๆ ทานพร้อมเห็ดแชมปิญองที่ใช้เวลาตุ๋นถึง 4 ชั่วโมงในซอสมะเขือเทศ จึงให้รสสัมผัสที่นุ่มลิ้มและยังมีรสเปรี้ยวมาตัดความเค็ม ส่วนความหวานก็มาจากลูกแพร์ตุ๋น และเพิ่มความอร่อยด้วยกลิ่นสมุนไพรจาก spicy sausage เมนูจานนี้จึงมีรสชาติกลมกล่อมไม่เค็มไปหรือหวานไปนั่นเอง
ต่อกันด้วยเมนูที่ครีเอทมาจากอาหารคลาสสิคของอิตาเลี่ยนอย่าง Chicken Parma กับเมนู Pistachio Crumbed Chicken Fillet (280 บาท) ซึ่งเป็นไก่ทอดซุปแป้งทอด โดยเชฟได้เพิ่มความพิเศษด้วยถั่วพิตาชิโอที่ช่วยเพิ่มความหอมชวนน้ำลายสอ และแม้ Chicken Parma แท้ๆ จะเป็นไก่ทอดที่ค่อนข้างบาง แต่สำหรับที่นี่กลับเสิร์ฟไก่ทอดชิ้นหนา เวลาทานจึงมีความฉ่ำของเนื้อไก่ ไม่แข็งกระด้างนั่นเอง และด้านบนโรยด้วยซีสและราดซอส เสิร์ฟพร้อม Prosciutto ที่มองด้วยตาจะคล้ายเบคอน แต่ Prosciutto จะให้หอมและมีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่มกว่า เพราะผ่านการหมักแบบข้ามปีนั่นเอง
อีกหนึ่งเมนูที่ห้ามพลาดคือ Big Breakfast (280 บาท) เมนูง่ายๆ ที่คล้ายกับ american breakfast แต่สำหรับคาเฟ่แห่งนี้กลับเป็นเมนูพิเศษที่เชฟได้ผสมผสานความเป็นเมลเบิร์นเข้าไปในรูปแบบของการนำเสนอ ทำให้เมนูจานนี้มีกลิ่นอายของความเป็นโฮมเมด ขณะเดียวกันก็คงความมีสไตล์เอาไว้ เพิ่มความพิเศษด้วยขนมปังซาวโดว์ (Sourdough) แบบโฮมเมดที่ทางร้านทำขึ้นมาเอง รวมทั้งยีสต์ที่ใช้ก็ยังเป็นยีสต์ที่เลี้ยงเอง แม้กระทั่งไส้กรอก ยังเป็นไส้กรอกสั่งทำพิเศษที่มีความสดใหม่ ไม่ใช่ไส้กรอกแช่แข็ง เมนูนี้จึงเป็นเมนูที่สื่อให้เราเห็นว่าทางร้านใส่ใจรายละเอียดมากแค่ไหน
ส่วนใครที่ชื่นชอบเมนูประเภท Skillet Style ต้องไม่พลาดกับ Skillet Dutch Pancake (180 บาท) ซึ่งเมนูนี้ได้รับอิทธิพลมาจากฮอลแลนด์ ความอร่อยของเมนูนี้อยู่ที่ความนุ่มฟูของแพนเค้ก และมีผลไม้หลากชนิดมาตัดรส โดยมีกล้วยเคลือบคาราเมลและสตอเบอร์รี่เป็นผลไม้หลัก เสริมด้วยผลไม้ประจำฤดูอื่นๆ ทานคู่กับไอศกรีมวานิลาเข้ากันได้อย่างลงตัว
“เกือบทุกเมนูของเราค่อนข้างจะไร้สารเคมี แล้วเราก็พยายามเน้นให้เป็น Healthy Menu ให้มากที่สุด แต่เราก็เข้าใจคนกินว่าเขาต้องการกินเบคอนหอมๆ มีมันนิดๆ เราก็เลยต้องคิดเมนูที่มาบวกลบกัน เหมือนกับว่าเราอยากใส่ความเฮลตี้เข้าไปในอาหาร ขณะเดียวกันความเฮลตี้ที่เราให้เขา เขาก็ต้องมีความสุขในการกินด้วย” คำบอกเล่าของเชฟกับแนวคิดอาหารของที่นี่
นอกจากอาหารบรันช์ที่ชวนให้เราอิ่มท้องแล้ว Wanderlust bkk ยังใส่ใจเรื่องเครื่องดื่มอีกด้วย ซึ่งคุณเมย์เป็นผู้ครีเอทเมนูเครื่องดื่มด้วยตนเองและยังรับหน้าที่เป็นบาริสต้าอีกด้วย โดยทางร้านให้สำคัญกับ “กาแฟ” จึงจับมือกับโรงคั่วกาแฟที่เชียงใหม่พัฒนา House Blendของทางร้านเอง เพื่อให้ได้กาแฟที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ โดยคุณเมย์ตั้งใจไว้ว่าอยากให้ร้านใช้เมล็ดกาแฟชนิดเดียว แต่สามารถนำไปทำชงให้อร่อยถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ยังมีเมล็ดกาแฟที่ส่งตรงจากเมลเบิร์นอย่าง Seven Seeds Specialty Coffee Roaste ให้เลือกลิ้มลองอีกด้วย คอกาแฟที่ชื่นชอบความเข้มข้นต้องไม่พลาดกับ Drip Coffee (150 บาท) หรือจะลิ้มลอง Latte Hot (80 บาท) ก็ถูกอกถูกใจคอกาแฟไม่แพ้กัน
ส่วนใครที่ชอบดื่ม affogato ต้องไม่พลาดกับ Avocado Affogato (120 บาท) ซึ่งเป็นเมนูที่ผสมผสานความอร่อยของอโวคาโดบด ไอศกรีมวนิลา กับความเข้มของกาแฟ House Blend ที่ถูกสกัดจนได้ช็อตเข้มข้ม ปิดท้ายความอร่อยกันด้วย Avocado Smoothie (140 บาท) เครื่องดื่มสำหรับคนรักสุขภาพ เพราะเมนูนี้มีส่วนผสมของอินทผาลัม อโวคาโด นมอัลมอนด์ และผักขมที่นำมาปั่นจนเข้ากัน โรยความอร่อยด้วยอัลมอนด์สไลด์และสตรอเบอร์รี่สด เป็นเมนูเครื่องดื่มที่ทั้งเฮลตี้และอิ่มท้องนั่นเอง
Address : 149 – 151 ถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟหัวลำโพง
GPS : 13.7425154,100.5191005
Time : ทุกวัน 8.00 – 18.00 น.
Tel : 089 757 7770
Facebook : www.facebook.com/onederlust
Instagram : www.instagram.com/wanderlust.bkk