Travel on Budget:
ระวังหลง (เสน่ห์) เพราะที่นี่คือ “บางพลัด”
หลายคนบอกบางพลัดไม่มีที่เที่ยว และอีกหลายเสียงก็คัดค้านว่าไปบางพลัด ไม่มีอะไรให้กิน แต่คนเหล่านั้นอาจไม่รู้ว่า แท้จริงแล้ว “บางพลัด” เต็มไปด้วยสถานที่ชิคๆ แม้จะไม่เริดหรูและชวนว้าวเท่าย่านอื่นๆ ของฝั่งธนฯ แต่บางพลัดก็เป็นอีกหนึ่งย่านที่มีเสน่ห์ จนเราขอชวนคุณไปหลง (เสน่ห์) กัน
มีข้อสันนิษฐานว่าคำเรียกว่า “บางพลัด” น่าจะหมายถึงการพลัดพราก แต่แท้จริงแล้วบางพลัดมาจากคำว่า “พลัดถิ่น” ของผู้คนที่เข้ามาอาศัยในย่านนี้ ทั้งการพลัดถิ่นจากไป และการพลัดถิ่นเข้ามา
ปักหมุด ”กาแฟบ้านบางอ้อ” สถานที่นัดพบแก๊งเพื่อน ก่อนออกทริป
• Open: เวลา 10.00 – 21.00 น. ยกเว้นวันเสาร์เปิด 10.00 – 22.00 น. หยุดทุกวันพุธ
• Address: ซอยจรัญสนิทวงศ์ 84 ถนนจรัญสนิทวงศ์
• FB: www.facebook.com/baanbangaor.coffee/
ตามธรรมเนียมของเรา ก่อนเริ่มทริป เราต้องนัดหมายกับแก๊งเพื่อนให้มาพบปะ โดยเลือกสถานที่อย่างร้านกาแฟหรือร้านอาหาร เพื่อเติมพลังงานก่อนออกเดินทาง เราจึงปักหมุดกันที่ “กาแฟบ้านบางอ้อ” ร้านกาแฟประจำถิ่นที่คนย่านนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก
“กาแฟบ้านบางอ้อ” เป็นร้านกาแฟบรรยากาศธรรมดาๆ ร้านหนึ่ง ที่แม้บรรยากาศร้านจะไม่เริดหรู แต่ที่นี่โดดเด่นเรื่องความอร่อย ทั้งอาหารคาว ขนมหวาน และเครื่องดื่มต่างๆ การันตีได้จากลูกค้าที่แน่นร้านตลอดทั้งวัน อย่างวันที่เราเดินทางไปเยือน โต๊ะทุกตัวล้วนเต็มแน่น พวกเราจึงตัดสินใจดื่มกาแฟและทานขนมแบบเบาๆ ดังนั้นหากอยากแวะทานอาหารที่ร้านนี้แนะนำให้โทรไปจองโต๊ะก่อนล่วงหน้าจะดีกว่า
เมนูที่น่าสนใจของร้านนี้คือ “ขนมหรุ่ม” (ชุดละ 75 บาท) อาหารว่างตำรับดั้งเดิมที่หาทานยาก โดยหรุ่มเป็นอาหารว่างจากครัวมุสลิมย่านบางอ้อ มีหน้าตาสี่เหลี่ยมที่ห่อด้านนอกด้วยแพไข่ ขณะที่ภายในประกอบด้วยมะพร้าว กุ้ง กระเทียม รากผักชี และพริกไทย ทำให้อาหารว่างจานนี้จัดจ้านด้วยรสและกลิ่นสมุนไพร เป็นอีกหนึ่งเมนูที่เชื่อว่าหลายคนไม่เคยทาน
แต่หากใครอยากได้เมนูคุ้นเคย ที่นี่ยังมีเค้กหลากหลายหน้า ไม่ว่าจะเป็น “Chocolate Soft Fudge Cake” (95 บาท) เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่มที่ให้รสช็อกโกแลตแบบเข้มข้น หวานกำลังดี ทานคู่กับ “Americano” (55 บาท) ก็ตัดรสอย่างลงตัว แต่ถ้าไม่ดื่มกาแฟ อาจเลือกเป็น “Lemon Tea” (55 บาท) ก็เข้ากัน
แต่หากถามถึงเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของที่นี่ ต้องไม่พลาดกับ “Baan Bang Aor Coffee” (75 บาท) เมนูชื่อเดียวกับชื่อร้าน เป็นกาแฟรสไทยๆ ที่หวานมัน จุดเด่นของเครื่องดื่มแก้วนี้คือจะนำเอสเพรสโซ่เข้มข้นไปแช่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง ดังนั้นแม้เครื่องดื่มจะละลาย แต่กลับให้รสเข้มข้นขึ้น หรือหากเราดื่มกาแฟจนหมด น้ำแข็งก็จะค่อยๆ ละลายกลายเป็นเอสเพรสโซ่เย็นให้เราได้ดื่มต่อได้เรื่อยๆ
แวะชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่กว่า 100 ปีที่ “มัสยิดบางอ้อ”
สถานีต่อไป เราขอไปเดินย่อย ชมสถานปัตยกรรมโบราณที่ยังคงความงดงามกันที่ “มัสยิดบางอ้อ” อีกหนึ่งศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมในย่านนี้ โดยมัสดยิดบางอ้อ มีจุดเด่นที่อาคารชั้นเดียวสีครีม ซึ่งสร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 6 กับสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรป โดยด้านหน้าหันออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
นอกจากอาคารหลักแล้ว ข้างๆ ยังมีเรือนขนมปังขิงอายุกว่า 100 ปี เป็นเรือนไม้สักแกะลวดลายละเอียดประณีต และเป็นสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่หายากในปัจจุบัน ที่สำคัญทั้งอาคารหลักและเรือนขนมปังขิง อีกทั้งชุมชมมัสยิดบางอ้อยังได้สร้างอาคารครบรอบ 100 ปีขึ้นใหม่ เพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา โดยเป็นอาคารชั้นเดียวขนาดใหญ่ ที่คงลวดลายและสถาปัตยกรรมสไตล์ยุโรปผสมอิสลามเอาไว้อย่างงดงาม
สำหรับชุมชนสมัสยิดบางอ้อ เป็นแขกที่อพยพมาจากอยุธยาครั้งเสียกรุง ผ่านการล่องแพตามแม่น้ำเจ้าพระยา และมาตั้งถิ่นฐานริมน้ำจนกลายเป็นชุมชนแห่งนี้ ชุมชนแห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ ‘แขกแพ’
คนชอบงานคราฟท์จากไม้ต้องแวะ “โชคอำนวย”
• Open: เวลา 08.30 – 19.30 น. เปิดทุกวัน
• Address: ซอยจรัญสนิทวงศ์ 79 (ทางเข้าวัดบางพลัด) ถนนจรัญสนิทวงศ์
• Tel.: 0-2433-4044, 085-130-8652
ระหว่างทางเดิน หากคุณเป็นคนซอกแซกชอบสำรวจเส้นทางคงได้พบกับ “โชคอำนวย” ร้านรับทำกรอบรูป และกรอบอื่นๆ แต่ที่ชวนสะดุดตาสะดุดใจ เพราะร้านนี้ไม่ใช่ร้านทำกรอปรูปธรรมดา แต่โดดเด่นด้วยการตกแต่งร้านที่นำของเก่าสะสมมาจัดวาง ตั้งแต่กีต้าร์ อัลบั้มเพลงจากวงในตำนานอย่าง The Beatles โทรศัพท์ยุคโบราณที่ยังคงใช้งานได้ ไปจนถึงจักรยานเก่าคันโตที่ยังคงปั่นได้จริง แม้แต่เครื่องมือช่างที่ใช้งานยังเป็นเครื่องมือเก่าแก่ อย่าง Mitre Box เครื่องยึดช่วยเลื่อยที่นำเข้ามาจากเยอรมัน มีอายุกว่า 40 ปี ฯลฯ จึงไม่แปลกหากร้านโชคอำนวยให้ความรู้สึกเสมือน Art Gallery ติสๆ แห่งหนึ่ง
สำหรับร้านนี้ มีคุณประชา แก้วเกลี้ยง เป็นเจ้าของและทำหน้าที่เป็นช่างฝีมือในการทำกรอบรูปจากไม้ แต่หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น ร้านโชคอำนวยแห่งนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในย่านบางพลัดมานานกว่า 40 ปี ก่อนที่คุณประชาจะมาสานต่องานช่างไม้ พร้อมเปลี่ยนบ้านเก่าให้เป็นร้านสไตล์ช่างศิลป์ผู้มีความรักให้กับงานฝีมือ
กระซิบอีกนิดว่าเป็นทั้งช่างศิลป์และช่างไม้ที่นิยมชมชอบทำงานไม้ด้วยมือ ดังนั้นงานของเขาจึงเป็นงานแฮนด์เมดอย่างแท้จริง โดยเราสามารถออกแบบและสั่งทำได้ ไม่ว่าจะเป็นกรอบใส่กีตาร์ กรอบใส่พระ หรือกรอบอื่นๆ ที่เป็นงานไม้ก็รับทำทั้งสิ้น
หลบแดด ตากแอร์ จิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่ “EAT ART a part of us”
• Open: เวลา 08.00 – 17.30 น. เปิดวันจันทร์ – ศุกร์ หยุดเสาร์ – อาทิตย์
• Address: ซอยจรัญสนิทวงศ์ 66/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์
เพราะแดดที่ร้อนแสนร้อน เราเลยตัดสินมองหาคาเฟ่หลบแดด พร้อมเติมความหวานให้ร่างกาย ซึ่งคาเฟ่ที่เราพาไปเยือน เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่สายติสที่ให้อารมณ์ศิลป์ กับ “EAT ART a part of us” คาเฟ่ที่เปลี่ยนตึกแถวย่านพักอาศัยให้เป็นสถานที่นั่งพักและคอมมูนิตี้ของคนละแวกนี้
EAT ART a part of us โดดเด่นด้วยบรรยากาศอาร์ตๆ ตั้งแต่หน้าร้านและภายใน เริ่มจากหน้าร้านที่โดดเด่นด้วยหุ่นคุณลุงนั่งอยู่ท่ามกลางไม้ประดับใบสวย ขณะที่ภายใน ทางร้านที่เลือกทาผนังด้วยสีแดงเข้ม ตัดกับภาพแวนโก๊ะ พร้อมด้วยของสะสมอารมณ์ศิลป์อีกมากมาย ซึ่งเจ้าของร้านนำมาตกแต่งให้ผลัดกันชม หากคุณนึกภาพไม่ออก ลองคิดถึง ‘ช่างชุ่ย’ (เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ปักหมุดไว้) เพราะเป็นเจ้าของเดียวกัน กระซิบอีกนิดว่า เดิมคาเฟ่แห่งนี้เป็นทั้งสถานที่พักผ่อนและสำนักงานใหญ่ของพนักกงาน FLYNOW แต่ทั้งนี้ทางร้านก็เปิดต้อนรับลูกค้าทั่วไปเช่นกัน
เมนูของที่นี่ เน้นเครื่องดื่มเป็นหลัก อาจจะมีของว่างให้รับประทานบ้าง อาทิ “Lyche Italian Soda” (50 บาท) หรือ “Lemon Soda” (50 บาท) สำหรับคนชอบดื่มเครื่องดื่มหวานซ่อนเปรี้ยว แต่หากอยากได้เครื่องดื่มหวาน แนะนำเป็น “นมปั้น” (60 บาท) ก็ลงตัวเช่นกัน ส่วนของว่าง ทางร้านแนะนำเป็นเมนูง่ายๆ อย่าง “Ham Cheese Sandwich” (30 บาท) ที่อุ่นร้อนๆ กับชีสเยิ้มๆ ให้รองท้อง
อยากรู้จริง ต้องไปเรียนรู้ที่ “พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางพลัด”
• Open: เวลา 09.00 – 16.00 น. เปิดวันจันทร์ – ศุกร์ หยุดเสาร์ – อาทิตย์
• Address: โรงเรียนวัดเปาโรหิตย์ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 62 ถนนจรัญสนิทวงศ์
เราเชื่อว่า อยากรู้จักที่ไหนให้ลึกซึ้ง ต้องแวะไปพิพิธภัณฑ์ ดังนั้นเมื่อทราบว่าย่านบางพลัดมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น เราจึงไม่รอช้าที่จะปักหมุดให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แวะชม
พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นกรุงเทพมหานคร เขตบางพลัด เป็นพิพิธภัณฑ์ เรือนไม้ที่ตั้งอยู่ภายในรั้วโรงเรียนวัดเปาโรหิตย์ โดยแบ่งพื้นที่การจัดแสดงออกเป็น 2 ส่วนคือ ชั้นบนเป็นพื้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์และผลงานของ “เจ้าพระยามุขมนตรี” (อวบ เปาโรหิตย์) ไฮไลท์ของส่วนนี้คือ ‘พิธีโล้ชิงช้า’ พิธีพราหมณ์โบราณที่ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยเจ้าพระยามุขมนตรีได้รับพระราชทานแต่งตั้งให้เป็นพระยายืนชิงช้า พิธีโล้ชิงช้าครั้งสุดท้ายจัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2477 ณ เสาชิงช้า หน้าวัดสุทัศน์ฯ
ส่วนชั้นล่างเป็นพิพิธภัณฑ์ที่บอกเล่าเรื่องราวท้องถิ่นของย่านบางพลัด ที่รวบรวมของใช้ประจำวันในอดีตมาไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะ ‘ปูน’ สำหรับกินหมาก ระหว่างชื่นชมกับภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์ แนะนำให้เราแวะไปเยือนชุมชนบ้านปูน แน่นอนว่าเราตอบรับคำเชิญ
“ชุมชนบ้านปูน” พื้นที่ประวัติศาสตร์ที่หายไป
ชุมชนบ้านปูน อีกหนึ่งพื้นที่สำคัญในในอดีตของย่านธนบุรี โดยแต่เดิมชุมชนแห่งนี้ทำปูน สำหรับเคี้ยวหมากพลู แต่เพราะความนิยมในการเคี้ยวหมากลดลง จนทำให้การทำปูนค่อยๆ หายไป
ระหว่างทางไปเยือนชุมชนบ้านปูน แม้จะมีเพียงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปในชุมชน จะพบกับ “พระบรมธาตุเจดีย์ วัดคฤหบดี” ริมน้ำเจ้าพระยา ซึ่งภายในบรรจุ ‘พระบรมสารีริกธาตุ’ จุดเด่นของพระบรมธาตุเจดีย์คือสถาปัตยกรรมที่มีที่มาจากเจดีย์ทิศวัดเจ็ดยอด จ.เชียงใหม่ นำมาดัดแปลงจากพระสถูปพระพุทธกายา ขณะที่ประตูเข้าองค์พระเจดีย์ได้เลียนแบบมาจากวัดศรีชุม จ.สุโขทัย สะท้อนความเรียบง่ายผ่านการทาสีขาวทั้งองค์
อีกหนึ่งจุดเด่นที่ทำให้หายเหนื่อยคือ วิวสะพานพระราม 8 ในมุมมองที่แตกต่าง โดยมีพื้นน้ำเจ้าพระยาและท้องฟ้าเป็นฉากหลัง เมื่อเดินออกมาจะพบกับกำแพงเก่าที่ยังคงอยู่ เป็นอีกหนึ่งจุดที่หลายคนมองว่าธรรมดาสามัญ แต่แท้จริงแล้วก้อนอิฐแต่ละก้อนกลับมีเรื่อวราวแห่งกาลเวลาซ่อนเอาไว้
หิวแล้วยัง แวะกิน “ข้าวหมูแดงเจ๊ณี”
• Open: เวลา 6.00 – 16. 30 น. และหยุดทุกวันที่ 9-10 ของทุกเดือน
• Address: ซอยสกุลชัย 8 บางพลัด
อีกหนึ่งร้านอาหารเจ้าอร่อยของย่านบางพลัดที่หลายคนไม่เคยรู้ แต่การันตีความอร่อยด้วยลูกค้าที่แวะเวียนมาไม่ขาดสาย กับ “ข้าวหมูแดงเจ๊ณี” ที่เปิดให้บริการมากว่า 20 ปี โดยความเด็ดของที่นี่ต้องเป็น ‘หมูกรอบ’ ที่คุณลุงทอดกรอบ พร้อมสูตรลับที่ทำให้หมูกรอบอร่อย ไม่อมน้ำมัน จนกลายเป็นความอร่อยที่ไม่ธรรมดา ผนวกกับน้ำราดที่ให้รสกลมกล่อม ข้าวหมูแดงเจ๊ณี จึงเป็นอีกร้านที่เราอยากแนะนำให้ลิ้มลอง
โดยเมนูของที่นี่มีเพียงข้าวหมูแดงและข้าวหมูกรอบ (จะสั่งผสมกันก็ได้ไม่ว่ากัน) ในราคาเบาๆ คือธรรมดา 35 บาท พิเศษ 40 บาท แต่อีกหนึ่งเมนูที่เมื่อแวะมาที่นี่แล้วต้องสั่งคือ “ต้มมะระ” ที่ขอบอกว่ามะระของคุณป้าสุณีกลมกล่อม และไม่ขมเลยสักนิด ยิ่งเมื่อทานร้อนๆ คู่กับข้าวหมูแดงหมูกรอบ จะเพิ่มความฟินชวนน้ำลายไหลเลยทีเดียว
ถ่ายภาพอาร์ตๆ ฉบับติสๆ กันที่ “ช่างชุ่ย”
• Open: ช่างชุ่ย เวลา 11.00 – 23. 00 น. หยุดทุกวันพุธ
• Address: ถนนสิรินธร
• FB: www.facebook.com/ChangChuiBKK/
ความสนุกยังไม่จบ ชวนไปสถานที่ติสๆ กันที่ “ช่างชุ่ย” พื้นที่สร้างสรรค์ที่อุดมด้วยผลงานศิลปะสุดครีเอท และยังเป็นคอมมูนิตี้อีกแห่งของคนฝั่งธนฯ โดยทุกพื้นที่ของช่างชุ่นจะมีผลงานศิลปะชิ้นโตประดับเอาไว้อย่างมีเอกลักษณ์ ช่างชุ่ยจึงกลายเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนรักการถ่ายรูปต้องมาลองฝีมือ
ภายใต้วัสดุเก่าที่หลายคนมองว่าไร้ค่า เพราะไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้ แต่ที่นี่กลับมองสิ่งของเหล่านี้เป็นของล้ำค่า โดยเฉพาะเมื่อของทุกชิ้นอัดแน่นด้วยความคิดสร้างสรรค์ พร้อมการลงมือทำจนเปลี่ยนของไร้ค่าให้กลายเป็นงานศิลป์ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินเก่าที่ถูกดัดแปลงให้เป็นเสมือนไอคอนของช่างชุ่ย, หน้าต่างประตูเก่าที่ใช้เป็นวัสดุหลักของอาคารแต่ละหลัง ฯลฯ อีกทั้งในแต่ละสัปดาห์ยังมี Event ต่างๆ ให้เราแวะชม
ปิดท้ายด้วยดินเนอร์ที่ Oldman Café
• Open: Oldman Café เวลา 15.00 – 24.00 น. หยุดทุกวันพุธ
• Address: โครงการช่างชุ่ย ถนนสิรินธร
• FB: www.facebook.com/oldmancafes/
ภายในช่างชุ่ยยังมีร้านอาหารและคาเฟ่สายติสอีกมากมายให้เราแวะไปฝากท้อง โดยเราเลือกร้าน “Oldman Cafe” สำหรับดินเนอร์ในค่ำคืนนี้ สำหรับ Oldman Café เป็นคาเฟ่ในลุคเรโทรเท่ๆ สไตล์ผู้ชายแมนๆ โดยร้านนี้เป็นทั้งร้านอาหารกึ่งบาร์ให้เราแวะไปจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ควบคู่กับทานมื้อค่ำรสอร่อย ซึ่ง Oldman Cafe สาขาช่างชุ่ยเป็นสาขาที่ 2 ส่วนสาขาแรกตั้งอยู่ในซอยบางขุนนนท์
เมนูที่ทางร้านแนะนำให้ลิ้มลองในวันนี้ ล้วนเป็นเมนูซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาด อาทิ “Spaghetti’s Woody Mix” (220 บาท) สปาร์เก็ตตี้ผัดพริกแห้งรวมที่ให้รสจัดจ้านของพริกแห้งนำ ขณะเดียวกันก็คงความกลมกล่อม แต่หากคุณอยากรับประทานข้าว แนะนำเป็น “Mixed Rice Fried Mackerel” (180 บาท) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อข้าวคลุกปลาทูทรงเครื่อง เมนูไทยๆ กับรสชาติดั้งเดิม ทั้งปลาทูทอดตัวใหญ่ ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับข้าวร้อนๆ โดยมีเครื่องเคียง ทั้งพริกสด หอมแดง ตะไคร้ ถั่วฟักยาว และพริกน้ำปลามาให้
ใครชอบรับประทานเนื้อ ทางร้านแนะนำให้สั่ง “Grilled Rib Eye Cap” (260 บาท) เนื้อย่างฝาครอบย่างที่เราเลือกความสุกได้ โดยทางร้านใช้เนื้อส่วนซี่โคร่งที่คัดพิเศษมาเสิร์ฟ ปิดท้ายกันที่ของทานเล่นที่จะสั่งมาเป็นกับแกล้มก็อร่อยเข้าทีกับ “Fried Pork Belly” (140 บาท) หมูสามชั้นที่นำไปทอดจนกรอบ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มไก่สูตรธรรมดา แต่ช่วยเพิ่มความอร่อยไม่ธรรมดา
Photographer: Wara Wuttiwan
Videographer: Sroisuwan.T
Writer & Creator: Taliw