เป็นอีกหนึ่งทริปสนุกๆ ที่เรียกเสียงหัวเราะและความอิ่มที่เรียกได้ว่า ‘พุงกาง’ กับการเดินทางในแบบฉบับ Travel on Budget ที่เดือนนี้เราไม่ได้พาคุณไปไหนไกล แต่เราจะพาคุณทัวร์ร้านอาหารอร่อยในย่าน “วงเวียนใหญ่” ซึ่งไม่เพียงแต่มาเอาใจคนชอบกินของอร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเอาใจคน ‘กินดึก’ อีกด้วย นั่นเพราะร้านเด็ดสไตล์ street food ทั้ง 7 ร้านที่เราจะพาคุณไปทัวร์นี้ จะเปิดเฉพาะช่วงเวลายามเย็นจนถึงดึกดื่นเท่านั้น
แน่นอนว่าเรายังคงคอนเซ็ปต์จ่ายถูกเที่ยวเพลินแบบ one day trip อีกเช่นเคย จึงไม่แปลกหาก Travel on Budget ประจำเดือนนี้จะทำให้เราเกิดอาการอิ่มพุงกาง (เพราะกินรวดเดียวถึง 7 ร้าน 7 เมนู) โดยมีเงินในกระเป๋าเพียง 500 บาทเท่านั้น …จะสนุกและอร่อยมากแค่ไหน ตามไปชมกันเลย!
01. หนูหนูผัดไทยนรกแตก (จานละ 75 บาท)
ประเดิมร้านแรกด้วยการพาไปชิมผัดไทยชื่อดังไม่แพ้ผัดไทยประตูผี แถมยังแตกต่างจากผัดไทยทั่วไปอีกด้วย เพราะ “หนูหนูผัดไทยนรกแตก” นอกจากรสชาติที่ต้องยกนิ้วให้กับความอร่อยแล้ว ยังอัดแน่นด้วยเครื่องเคียงแปลกใหม่ที่เสิร์ฟมาอีกด้วย โดยเฉพาะเมนู “ผัดไทยนรกแตก” เมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่นอกจากกุ้งตัวโตที่นำไปทอดจนได้เปลือกกรุบกรอบแล้ว ยังใส่ปลากรอบ เม็ดมะม่วงหินมพานต์ เกี๊ยวกรอบ เส้นทาโร่และปลาหมึกแผ่นทอดกรอบ เสิร์ฟพร้อมผักสดสารพัดชนิด โดยร้านนี้มีผัดไทยให้เลือกชิมถึง 4 เมนูด้วยกัน นั่นคือ ผัดไทยนรกแตก (75 บาท), ผัดไทยกุ้งสด (60 บาท), ผัดไทยหลงกรุง (45 บาท) และผัดไทยกุ้งกร๊อบ (35 บาท)
แม้ชื่อเมนูจะชวนให้คิดถึงความเผ็ดจัดจ้าน แต่แท้จริงแล้วเมนูผัดไทยของหนูหนูผัดไทยนรกแตกไม่ได้เผ็ดแซ่บลิ้นอย่างที่เข้าใจ แต่เป็นผัดไทยรสกลมกล่อมที่ถ้าไม่ปรุงก็อร่อยหรือหากอยากปรุงก็ไม่ว่ากัน ส่วนสาเหตุที่เราต้องประเดิมร้านนี้เป็นร้านแรกเป็นเพราะคิวที่ยาวแสนยาว แถมผัดไทยยังหมดเร็วอีกด้วย ซึ่งจากการพูดคุยกับพี่ๆ ที่ร้านทำให้เราทราบว่าร้านนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป ส่วนเวลาปิดนั้นขึ้นอยู่กับของที่หมด ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะขายหมดในช่วงเวลาประมาณ 2 ทุ่มเป็นอย่างช้า
พิกัด : ร้านริมถนนเจริญรัถ ช่วงซอยเจริญรถ 1 หน้าร้านเพชรอาภรณ์
เวลา : 17.00 น. เป็นต้นไป ปิดวันจันทร์
โทร : 081 351 9390
02. หมูสะเต๊ะ สมมิตร (ไม้ละ 4 บาท จัดไป 10 ไม้ 40 บาท)
หลังจากอิ่มหนำกับผัดไทยจานใหญ่กันไปแล้ว เราก็ขอพักเบรกด้วยการกินของอร่อยเบาๆ กันต่อ โดยมีเพื่อนเจ้าถิ่นของย่านนี้ย้ำกับเราว่าต้องไปชิม “หมูสะเต๊ะ สมมิตร” เจ้านี้ให้ได้ เราจึงไม่รอช้าที่จะพุ่งไปชิมกันที่ตลาดเงินวิจิตร ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าติดถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน
สำหรับหมูสะเต๊ะเจ้านี้มีดีที่ “น้ำจิ้มสูตรโบราณ” ที่เป็นสูตรดั้งเดิมขนานแท้ โดยจะใส่ถั่วจนได้เนื้อสัมผัสที่เข้มข้น (แถมยังให้เยอะอีกด้วย) ทานคู่กับหมูสะเต๊ะที่หมักจนนุ่ม ซึ่งแม้หมูสะเต๊ะไม้จะไม่ใหญ่หมูจะไม่เยอะ แต่เพราะรสชาติความอร่อยของน้ำจิ้มสูตรโบราณ ก็ทำให้ร้านนี้เป็นอีกหนึ่งร้านขึ้นชื่อในย่านวงเวียนใหญ่ โดยเราจะสั่งซื้อกี่ไม้ก็ได้ ไม่จำกัดเป็นชุดๆ เพราะลุงเขาขายไม้ละ 4 บาท แต่ต้องซื้อขั้นต่ำ 10 ไม้ขึ้นไป
พิกัด : สมมิตร หมูสะเต๊ะ อยู่ในตลาดเงินวิจิตร ถนนเจริญรัถ (ทางเข้าตลาดจะอยู่ติดกับถนนสมเด็จพระเจ้าตากสิน)
เวลา : 16.00 – 20.00 น. มีวันหยุดไม่แน่นอน
นอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามร้านสมมิตร หมูสะเต๊ะ ซึ่งกั้นกลางด้วยถนนเส้นเล็กคือร้าน “ฮุย ราดหน้าวงเวียนใหญ่” เป็นอีกหนึ่งร้านชื่อดังของย่านนี้ โดยแต่เดิมร้านนี้ตั้งอยู่ริมถนนและได้ย้ายเข้าไปอยู่ในตลาดเสสะเวช (ตรงข้ามตลาดเงินวิจิตร) เป็นอีกหนึ่งร้านที่เราขอเสนอให้ได้ลิ้มลอง โดยราดหน้าที่แม้จะมีหน้าตาธรรมดาแต่ก็อร่อยไม่แพ้ใคร แถมยังมีราคาเบาๆ จานละ 40 บาทเท่านั้นเอง
พิกัด : ฮุย ราดหน้าวงเวียนใหญ่ ในตลาดเสสะเวช (ตรงข้ามสมมิตร หมูสะเต๊ะ) ถนนเจริญรัถ
เวลา : เปิดทุกวัน 17.00 – 02.00 น.
03. ก๋วยเตี๋ยวเฮฟวี่ (ชามละ 35 บาท)
เป็นอีกร้านที่ชวนประทับใจ ซึ่งไม่ใช่แค่รสชาติของหมูตุ๋นนุ่มลิ้นแสนอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีลีลาการลวกก๋วยเตี๋ยวของ ‘พี่เอก’ เจ้าของร้านหัวใจคาราบาวกับชื่อร้านที่มีที่มาที่ไปไม่เหมือนใคร “ก๋วยเตี๋ยวเฮฟวี่” โดยความอร่อยของก๋วยเตี๋ยวชามนี้อยู่ที่ ‘หมูตุ๋น’ ที่ตุ๋นจนนุ่มเสมือนละลายในปากได้ ผสมผสานกับความเข้มข้นของเครื่องปรุงในน้ำซุปกับเส้นที่ลวกจนนุ่มเหนียวกำลังพอดี จึงไม่แปลกหากก๋วยเตี๋ยวเฮฟวี่จะเปิดมายาวนานกว่า 50 ปี
ระหว่างรอกินยังได้ชมลีลาการลวกก๋วยเตี๋ยวที่ไม่ซ้ำใครของพี่เอกอีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าลวกไปแดนซ์ไป ใส่อารมณ์เต็มพิกัด โดยเฉพาะเมื่อมีเพลงเพื่อชีวิตของวงดัง ‘คาราบาว’ เป็นซาวด์แทร็กประกอบจังหวะการลวก ยังไม่นับรวมการแต่งตัวของพี่เอกที่เรียกได้ว่าพี่แอ๊ดมาเอง จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของก๋วยเตี๋ยวเฮฟวี่จนใครหลายคนยอมให้น้ำหนักเพิ่ม เพื่อแวะมากินก๋วยเตี๋ยวยามดึกเจ้านี้กันเลยทีเดียว ส่วนชื่อร้านที่ชวนให้เราสงสัยนั้น พี่เอกเปิดปากเล่าให้เราฟังว่าชื่อนี้เพิ่งมีมาเมื่อปี 31 โดยช่วงนั้นมีเด็กๆ ในย่านนี้เรียกพี่เขาว่า ‘ฮิปปี้มาแล้ว ฮิปปี้มาแล้ว’ พี่เอกจึงเล่นคำจากฮิปปี้มาเป็น ‘เฮฟวี่’ และกลายมาเป็นชื่อร้านในปัจจุบัน
พิกัด : ริมถนนเจริญรถ ฝั่งตรงข้ามธนาคารกสิกรไทย สาขาเจริญรัถ (อยู่ตรงข้ามร้านหนูหนูผัดไทยนรกแตก)
เวลา : 20.00 – 00.00 น. ปิดวันจันทร์
หลังจากทัวร์กินร้านเด็ดบนถนนเจริญรัถกันเรียบร้อยแล้ว ก็ไปต่อร้านอร่อยกันที่ “ถนนลาดหญ้า” ซึ่งจากถนนเจริญรัถสามารถเดินทะลุผ่านซอยลาดหญ้า 2 สู่ถนนลาดหญ้าเส้นหลักได้เลย
04. ทับทิมกรอบวงเวียนใหญ่ (ถ้วยละ 30 บาท)
ทันทีที่ทะลุจากซอยลาดหญ้า 2 สู่ถนนเส้นหลักแล้ว ก็จะพบกับร้าน “ทับทิมกรอบวงเวียนใหญ่” เป็นร้านขนมหวานทับทิมกรอบเจ้าเก่าเจ้าดังและเจ้าแรกในย่านวงเวียนใหญ่ที่มีอายุกว่า 40 ปี การันตีความอร่อยจากนิตยสารหลายหัวและรางวัลหลายรางวัล
สำหรับร้านนี้แม้จะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้า แต่คนที่เลิกงานดึกก็ยังสามารถมานั่งกินได้ เพราะเขาปิด 2 ทุ่มครึ่ง โดยเมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องลิ้มลองคือเมนู Original หรือที่เถ้าแก่เขาเรียกง่ายๆ ว่าเมนูหมายเลข 1 เป็นเมนูขนมหวานที่ประกอบไปด้วยทับทิมกรอบ มะพร้าวแก้ว และแห้วสยาม ราดด้วยน้ำกะทิที่ส่งกลิ่นหอมทันทีที่เข้าปาก แม้จะมีหลายเสียงบอกต่อกันมาว่าทับทิมกรอบเจ้านี้ยังไม่ใช่ที่สุด แต่สำหรับเราแล้วถือได้ว่าเป็นทับทิมกรอบที่อร่อยไม่แพ้ใครเลย
พิกัด : ถนนลาดหญ้า ปากซอยลาดหญ้า 2
เวลา : 8.00 – 20.30 น. ปิดทุกวันพุธ สัปดาห์ที่ 4 ของเดือน
05. หอยแครงลวกเจ๊ภา (จานละ 80 บาท)
เมื่อข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามร้านทับทิมกรอบ (ใกล้กับโรบิน ลาดหญ้าสาขาเก่า) จะพบกับ “หอยแครงลวกเจ๊ภา” อีกหนึ่งร้านอร่อยริมทาง ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟก็มีเพียงเมนูเดียวนั่นคือหอยแครงลวกกึ่งดิบกึ่งสุก และจากการพูดคุยกับเจ๊ภา เจ้าของร้านทำให้เราทราบว่าเจ๊ต้องขายหอยแครงลวกวันละ 60 กิโลกรัม และจะขายหมดทุกวัน
ดังนั้นหอยแครงของร้านนี้จึงรับรองความสดใหม่ ผนวกกับความใส่ใจเรื่องความสะอาดของเจ๊ ทำให้ร้านนี้เปิดมายาวนานกว่า 36 ปี โดยเจ๊ภาจะคัดเฉพาะหอยแครงตัวโตทำให้ได้เนื้อแบบเน้นๆ แถมบริการแกะปากหอยให้เราอีกด้วย ไฮไลต์เด็ดของร้านนี้คือน้ำจิ้มที่เราสามารถสั่งได้ตามต้องการ ทั้งน้ำจิ้มซีฟู้ดที่จะเติมเผ็ด เติมหวาน หรือเติมเปรี้ยวได้เพียงบอกเจ๊เท่านั้น และยังมีน้ำจิ้มหวานคลุกถั่วมาเสิร์ฟเป็นทางเลือกอีกด้วย
พิกัด : ฝั่งตรงข้ามร้านทับทิมกรอบวงเวียนใหญ่ (ใกล้กับโรบินสันเก่า)
เวลา : 16.00 – 21.00 น. ปิดทุกวันจันทร์และวันพระ
06. จุ่มลาดหญ้า หน้าสหกรณ์ (ชุดละ 170 บาท)
ระหว่างรอฝนหยุดตก เราก็นั่งกินจิ๋มจุ่มร้อนๆ ไปพลางๆ โดยสองฝั่งบนถนนลาดหญ้าจะเต็มไปด้วยร้านจุ๋มจุ่มมากมาย โดยร้านดังขึ้นชื่อต้องยกให้กับ “จุ่มลาดหญ้า หน้าสหกรณ์” ซึ่งจุดสังเกตคือ จะมีพนักงานใส่เสื้อสีม่วงและเป็นร้านที่วางโต๊ะเก้าอี้อย่างกว้างขวาง ตั้งอยู่หน้าสหกรณ์ แน่นอนว่านอกจากเมนูจิ๋มจุ่มแล้ว ที่ร้านนี้ยังมีเมนูอีสานรสแซ่บอื่นๆ มาเสิร์ฟอีกมากมาย
ส่วนเมนูจิ๋มจุ่มนั้นจะแบ่งเป็น 3 เมนูหลักคือ อร่อยแบบหมูจุ่ม, อร่อยแบบเนื้อจุ่ม และอร่อยแบบทะเลจุ่ม โดยทั้งสามเมนูจะมีราคาเดียวกันคือ 170 บาท และหากเลือกลิ้มลองอร่อยแบบหมูจุ่ม นอกจากเนื้อหมูสดแล้วยังมีไส้และเซี่ยงจี้เสิร์ฟคู่กันมาอีกด้วย ส่วนความอร่อยของร้านจิ๋มจุ่มนี้อยู่ที่น้ำซุปที่หอมสมุนไพรในหม้อดิน แฝงรสเผ็ดนิดๆ ของพริกขี้หนู เมื่อใส่ผักและเนื้อลงไปก็จะได้จุ่มรสอร่อยนั่นเอง
พิกัด : หน้าสหกรณ์ลาดหญ้า (ฝั่งเดียวกันกับทับทิมกรอบวงเวียนใหญ่)
เวลา : 17.00 – 23.00 น. ปิดวันจันทร์
07. Midnight a Cocoa (แก้วละ 50 บาท)
ปิดท้ายความอร่อยกันที่ร้านโกโก้อินดี้ที่แม้จะมีเงินก็ใช่ว่าจะได้กิน “Midnight a Cocoa” โดยความอินดี้ของร้านนี้เริ่มตั้งแต่ “พี่เดียร์” เจ้าของร้านที่ชอบดื่มโกโก้เป็นชีวิตจิตใจและเกิดอาการอยากดื่มโกโก้ยามดึก แต่กลับไม่มีร้านไหนเปิดขายจนเป็นที่มาของการเปิดร้านโกโก้นี้ขึ้น ดังนั้นเครื่องดื่มที่เสิร์ฟจึงมีเพียงโกโก้เท่านั้น แต่เป็นโกโก้ที่ให้ความเข้มข้นถึง 3 ระดับด้วยกัน เริ่มจากโกโก้ความเข้มข้น Lv. 1 : Goodnight a Cocoa, Lv. 2 : Midnight a Cocoa และ Lv. 3 : Darknight a Cocoa
แต่ไม่ว่าจะเป็นโกโก้เลเวลไหน ก็ต้องบอกว่าเข้มข้นถึงใจจนคนรักโกโก้ทั้งนั้น และสำหรับคนที่ไม่เคยลิ้มลองโกโก้ร้านนี้ เจ้าของร้านยังใจดีให้เราลองชิมความเข้มข้นก่อนจนกว่าจะได้รสชาติที่ถูกปาก โดยเฉพาะหากเผอิญคุณไปเยือนร้านในวัน Good Day ทางร้านจะมีวิปครีมนุ่มลิ้นแถมให้ฟรีอีกด้วย
อีกเรื่องอินดี้ของร้านนี้คือรับเฉพาะแบงก์ 50 โดยให้หยอดใส่รูปปั้นกระเป๋าที่วางอยู่หน้าร้าน เมื่อสอบถามว่าทำไมต้องรับเฉพาะแบงก์ 50 เท่านั้น (หากไม่มีก็สามารถแลกได้ที่ร้านข้างๆ) พี่เดียร์ก็เล่าให้ฟังว่าเพราะแบงก์ 50 เป็นธนบัตรที่ใครๆ ก็ชอบเก็บ เลยอยากให้คนเอาของที่ชอบมาแลกกับโกโก้ของเรานั่นเอง พี่เดียร์ยังเล่าแถมท้ายให้เราฟังอีกว่า ด้วยความห่วงสุขภาพที่ไม่ควรดื่มของหวานยามดึก ที่ร้านนี้จึงเสิร์ฟโกโก้แก้วเล็กแทนแก้วขนาดปกติ ผนวกกับการเปิดร้านที่เปิดตอน 4 ทุ่มถึงตี 2 ทำให้ได้ชื่อร้านว่า Midnight a Cocoa นั่นเอง
พิกัด : ติดกับร้านมีพอดีสตูดิโอ ตรงมุมถนนประชาธิปก ฝั่งตรงข้ามสี่แยกบ้านแขก
เวลา : 22.00 – 02.00 น. วันหยุดไม่แน่นอน แต่สามารถเช็คได้ที่ www.facebook.com/midnightacocoa