WHY : John Wick Chapter 2 เป็นเหตุผลว่า ทำไมตัวละคร John Wick จึงกลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งหนึ่ง และถือว่าเป็นการกลับมารับบทแอ็คชั่นสไตล์บู๊ในแบบ Neo ที่เราคุ้นเคยจากไตรภาคของ The Matrix อีกครั้ง
John Wick Chapter 2 ทำให้เรานึกย้อนไปในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาว่า วงการภาพยนตร์ได้ผลิตหนังแอ็คชั่นสไตล์ ชายเดี่ยว ลุยเดี่ยว เพื่อไปถล่มองค์กรเกิดขึ้นมามากมาย และยังคงสร้างออกมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ถ้าจะให้ย้อนความไปไม่ไกลนัก ว่าทำไมถึงเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นนั้น ก็คงต้องยกความดีความชอบให้กับภาพยนตร์เรื่อง Taken (2008) ที่นำแสดงโดย Liam Neilson มารับบทเป็น อดีตสายลับที่ลูกสาวถูกลักพาตัว จึงทำให้เขามีความจำเป็นที่จะต้องออกไปตามล่าหาคนร้าย และบุกทลายองค์กรของผู้ร้าย เพื่อชิงตัวลูกสาวของเขากลับมา ซึ่งถือว่าเป็นภาพยนตร์ต้นทุนต่ำที่มีชั้นเชิง และทำออกมาดีมากๆ กลายเป็นหนังขึ้นหิ้งของคอหนังแอ๊ดชั่นเลยก็ว่าได้
ความสำเร็จของภาพยนตร์ Taken ทำให้มีภาค 2 และ ภาค 3 ตามมาในปี 2012 และ 2014 อีกทั้งยังมีภาพยนตร์ในสไตล์เดียวกัน ที่นำแสดงโดย Liam Nielson ทำออกตามมามากมายอย่าง Unknown (2011) , A Walk Among The Tombstone (2014) , Non Stop (2014) หรือ Run All Night (2015) จนทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของตัวละครแนวแอ็คชั่นสไตล์นี้ไปแล้ว รวมไปถึงเกิดตัวละครใหม่ๆ ขึ้นมาอย่าง Tom Cruise ใน Jack Reacher (2012 / 2016) , Denzel Washington ใน The Equalizer (2014) , Ben Affleck ใน The Accountant (2016) และ Keanu Reeves ใน John Wick
ตัวละคร John Wick ที่แสดงโดย Keanu Reeves นั้น อาจเป็นตัวละครและพล็อตเรื่องที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่นสักเท่าไหร่นัก โดยเป็นเรื่องราวของชายที่วางมือจากการเป็นนักฆ่า แต่ก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เขา ต้องกลับมาไล่ล่าเพื่อตามฆ่า และสะสางหนี้แค้นที่อีกฝ่ายได้มาก่อไว้ ด้วยความที่เป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นทริลเลอร์ ที่ใช้บรรยากาศสไตล์ฟิลม์นัวร์สมัยใหม่ ผสมผสานกับความเป็นตลกร้าย และฉากแอ็คชั่นที่ดุเดือด ทั้งหมดนี้ ทำให้ John Wick กลายเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องใหม่ที่ประสบความสำเร็จ จนทำให้สร้าง Chapter 2 เป็นภาคต่อมา
ด้วยความสามารถของ Chad Stahelski ผู้กำกับคนเดิม อดีต stunt double ของ Keanu Reeves ตั้งแต่สมัยภาพยนตร์เรื่อง The Matrix (1999) ที่ทั้งเชี่ยวชาญในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ และคิวบู้ต่างๆ ได้กลับมากำกับภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยได้เพิ่มทุนสร้างจากเดิม 20 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ กลายเป็น 40 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ถ้าหากว่าภาคนี้สามารถทำรายได้ 4 เท่าของทุนสร้างเหมือนอย่างภาคแรก ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก สำหรับค่ายหนังที่ไม่ใหญ่แบบนี้ โดยในภาคนี้ ตัวภาพยนตร์ได้เพิ่มขอบเขตของศัตรูให้กว้างยิ่งขึ้น จึงทำให้ John Wick ต้องต่อกรรับมือกับแก๊งค์มาเฟียมากมาย หลายรูปแบบ อีกทั้งยังมีการเปิดโลกของโครงสร้างใต้ดินของวงการมาเฟีย ที่ขยายจักรวาลของภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปอย่างไร้ขอบเขตมากยิ่งขึ้น และทำออกมาได้ดีกว่าภาคแรกมาก อีกทั้งยังมีการดีไซน์ทั้งฉากบู๊สไตล์ tactical ออกมาหลากหลายรูปแบบ และฉากต่อสู้มือเปล่าที่ผสมการต่อสู้แบบ jujutsu กับ close combat ลงไป จึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาพและฉากที่อลังการขึ้น รวมไปถึง sequence ฉากแอ็คชั่นแบบ non-stop ที่น่าจะถูกใจคอหนังแอ็คชั่นมากๆ เลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าในทุกวันนี้ ภาพยนตร์แอ็คชั่นส่วนใหญ่ที่เราได้ดูกันนั้น มักมีเนื้อเรื่องที่ไม่แข็งแรง หรือโทนการดำเนินเรื่องที่ต่อเนื่อง และไม่สามารถกดดัน หรือคุมอารมณ์คนดูไว้ได้ตลอดเวลา จนทำให้ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีภาพยนตร์แอ็คชั่นเพียงไม่กี่เรื่อง ที่คู่ควรแก่การดู และมีคุณค่ามากพอที่จะเรียกว่าเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ดี แต่สำหรับ John Wick Chapter 2 แล้ว ถือว่าเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่นที่ยังหาอะไรใหม่ๆ มาให้กับคนดู ให้เราได้ทึ่ง และมีแรงดึงดูดให้น่าติดตาม บวกกับมาดเท่ๆ ของ Keanu Reeves ที่ทำให้ตัวละครตัวนี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น แถมยังไปซุ่มฝึกยิงปืนจริงๆ ในแบบ tactical จนทำให้ฉากแอ็คชั่นต่างๆ ในเรื่อง ดูสมจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ นอกจากนี้ ยังเป็นการกลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งกับ Laurence Fishburne ที่เคยคู่กันตั้งแต่ The Matrix มารับบทเป็น Bowery King เจ้าพ่อมาเฟียที่คุมโลกใต้ดินเอาไว้ และอีกคนก็คือ แร็ปเปอร์อย่าง Common ที่แสดงฉากบู๊ได้ดีมากๆ จนต้องยกนิ้วให้ด้วยเลยเช่นกัน
John Wick Chapter 2 คือสิ่งยืนยันว่า ตัวละครตัวนี้ ได้ประสบความสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง และถือว่าเป็นการกลับมารับบทแอ็คชั่นสไตล์บู๊ในแบบ Neo ที่เราคุ้นเคยจากไตรภาคของ The Matrix อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้มีการอ้างอิงถึงเนื้อเรื่องของภาคก่อนอยู่ประมาณ 30% อาจไม่ถึงกับสำคัญมาก หรือจะทำให้ดูไม่รู้เรื่อง แต่ก็อาจทิ้งข้อสงสัยในใจนิดหน่อยเวลาดู ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ และคงไม่สร้างปัญหาสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นไปได้ และมีโอกาสที่จะดู John Wick ภาคก่อน ก็จะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกขึ้นเยอะเลย เพราะ John Wick Chapter 2 ไม่ได้มีเพียงแค่ฉากต่อสู้เท่านั้น แต่ยังมีทั้งเนื้อเรื่อง บรรยากาศของเนื้อเรื่อง และเสน่ห์ของตัวละคร ที่ทำให้เราเชื่อว่า ไม่มีใครสามารถต่อกรได้กับ John Wick เลยจริงๆ