วันนี้ (23 สิงหาคม 2559) ถือเป็นวันครบรอบ 25 ปี อินเตอร์เน็ต โดยมีการเรียกวันนี้ว่า Internaut Day ซึ่งเป็นการสมาสคำระหว่าง Internet กับ Astronaut ที่แปลว่านักบินอวกาศ เป็นคำที่สื่อถึงความหมายว่า การท่องโลกอินเตอร์เน็ตนั้นเปรียบเสมือนการสำรวจอวกาศที่กว้างใหญ่และมีอะไรมากมายให้ค้นพบ ตลอดช่วงเวลา 25 ปีที่ผ่านมาโลกออนไลน์ได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และพฤติกรรมของมนุษย์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน นั่นคือสิ่งที่ภาพยนตร์เรื่อง NERVE (2016) ได้ซ่อนความนัยไว้อยู่
หากเหตุผลในการที่เรานำโทรทัศน์เข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2498 นั้น ส่วนหนึ่งคือเพื่อบอกเล่าเรื่องราวของคนๆ หนึ่ง ให้เป็นที่รู้จักและสื่อสารแนวคิดของตนเองให้คนอื่นได้รับฟังแล้ว มันก็คงไม่ใช่เรื่องที่แปลกอะไรหากอีก 61 ปีต่อมา ผู้คนต่างพากัน (อยาก) บอกเล่าตัวตนผ่านการ live ในโซเชียลมีเดีย
มนุษย์นั้นขึ้นชื่อว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการได้รับความสนใจและการยอมรับจากสังคม จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ทุกวันนี้เราจะเห็น live broadcaster มากมายที่ทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งใช้เรือนร่างของตัวเองเป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดความสนใจและพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองพอใจทั้งชื่อเสียงและเงินทอง บางครั้งเราเองก็สับสนอยู่เหมือนกันว่า เราเป็นผู้เสพ และเป็นผู้ save อะไร จากสื่อออนไลน์ต่างๆ กันแน่
คำว่า caster กลายเป็นศัพท์ใหม่ในยุคปัจจุบัน โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า broadcast หรือการออกอากาศ โดยเริ่มจากการถ่ายทอดสดผ่าน webcam บนหน้าเว็บไซต์ หรือโปรแกรมที่รองรับ สื่อสารผ่านจอคอมพิวเตอร์ จนปัจจุบันได้กลายมาเป็นการ live broadcast ผ่านหน้าจอมือถือ ที่ไม่ว่าใครก็สามารถทำได้ ทุกที่ทุกเวลา
ใครจะไปคาดเดาได้ว่า แรงบันดาลใจที่ทำให้กำเนิดโปรแกรมประเภทนี้ เริ่มมาจากความต้องการอยากจะให้มนุษย์อย่างเรา สามารถสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กลับกลายมาเครื่องมือในการถ่ายทอดสดเพื่อยั่วยวนและยั่วยุจนกลายมาเป็นปัญหาสังคมในปัจจุบัน แต่ก็อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า เราทุกคนล้วนกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการเสพสื่อของมนุษย์ จากการที่เราเคยเรียกโทรทัศน์ว่า “วิทยุรับสัญญาณภาพเคลื่อนไหว” มาเป็นการส่งข้อมูลผ่าน “อินเตอร์เน็ตไร้สาย 4G” ลักษณะนิสัยของคนเราก็ได้เปลี่ยนแปลงไปมากด้วยเช่นกัน
ทุกวันนี้เราจะสามารถเชื่อมต่อกับใครก็ตามผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กได้
แต่กลับทำให้ใครหลายคนกลายเป็นคนเหงา
เราสามารถรับรู้ความเป็นไปของคนๆ หนึ่งได้
แต่กลับทำให้เรารู้สึกว่าเขานั้นอยู่ไกลออกไป
ความลางเลือนในการให้ความสำคัญกับตัวตนของเราในโลกของความจริง กลับผกผันกับความชัดเจนและความกล้าแสดงความรู้สึกของเราในโลกโซเชียล เรารู้สึกเดียวดายและไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่แท้จริงของเราให้ใครฟังได้ เราต่างห่วงภาพลักษณ์ที่เราสร้าง เพื่อแลกกับความสนใจที่ไม่มีตัวตน และเราก็เริ่มสร้างตัวตน ที่ไม่มีความสำคัญต่อชีวิตจริง
สิ่งที่ NERVE พยายามจะสื่อสารนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์สมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะมีการเปรียบเทียบกับภาพยนตร์ 13 เกมสยอง แต่นี่กลับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยีในยุคสมัย ที่แทบไม่ได้กลายเป็นสิ่งที่แปลกในยุคปัจจุบัน
อนาคตข้างหน้าจะเราจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ไม่มีใครรู้ เพราะเราต่างคนอาจเป็นแค่เพียงแสงนีออนที่สดใส ทั้งๆ ที่รอบข้างนั้นมีแต่ความมืดมิด เหมือนกับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นได้
Photo : Mongkol Major
