WHO # FAV talk with โบ๊ต – เพ็ชร ประภากิตติกุล : ถอดความรู้สึกคนในคลิป เรายืนเคารพเพลง “สรรเสริญพระบารมี” เพราะอะไร?
“ลองหาคำตอบให้ตัวเอง เราจะได้ไม่ต้องยืน เพียงเพราะคนอื่นยืน เราจะได้ไม่ต้องรัก เพียงเพราะคนอื่นรัก … ผมเชื่อว่า ครั้งต่อไปที่เพลง สรรเสริญพระบารมี ดังขึ้น ทุกท่านจะได้รู้ว่า ท่านกำลังยืนถวายความเคารพให้กับพระมหากษัตริย์ คนที่ไม่ได้เป็นสมมติเทพ คนที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร แต่กลับเดินทางไปทั่วแผ่นดินไทย เดินทางไปช่วยคนไทย ทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจอย่างที่ไม่มีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในโลกนี้ทำได้”
คุณยังจำคำพูดของผู้ชายในคลิปนี้ได้หรือเปล่า?
คลิปนี้เป็นโฆษณาเทิดพระเกียรติ ที่ถ่ายจำลองเหตุการณ์ในโรงภาพยนตร์เพื่อตั้งคำถามกับคุณว่า “เรายังจำได้ไหม…ว่าเรายืนเคารพเพลง สรรเสริญพระบารมี เพราะอะไร?” โฆษณาตัวนี้ถูกปล่อยออกมาหลังจากช่วงเวลาที่คนไทยบางคนเกิดสงสัยว่า “ทำไมเราต้องยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงหนัง” (คลิปนี้ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2558 ผ่านช่อง YouTube “thailifechannel”)
วันนี้เราจะขอพาทุกคนไปนั่งคุยกับ เพ็ชร ประภากิตติกุล หรือ คุณโบ๊ต ผู้ชายในคลิปนี้ ถึงที่มา เบื้องหลังในการบันทึกเทปในวันนั้น และความรู้สึก ณ ตอนนี้ของเขา
อยากให้คุณโบ๊ตเล่าถึงการได้มาร่วมทำงานในโฆษณาเทิดพระเกียรติคลิปนี้ครับ
มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากเลยครับ คืนหนึ่งโบ๊ตเห็นคนโพสในเฟซบุ๊คว่า อยากได้ใครบางคนมาเล่าเรื่องของพระองค์ท่าน เป็นโฆษณาตัวหนึ่ง โบ๊ตมีความรู้สึกว่า ถ้าโบ๊ตได้ทำงานนี้จากจิตวิญญาณที่เป็นเนื้อแท้ น่าจะดี เลยส่งข้อความไปใน inbox ว่า โบ๊ตขอเข้าไปออดิชั่น จริงๆ แล้ววันที่ต้องไปออดิชั่น โบ๊ตต้องขับรถไปทำงานที่นครนายก แต่ก็ไม่ได้ไป โบ๊ตเลยตั้งใจเข้าไปออดิชั่น โบ๊ตก็บอกทีมงานว่า วันนี้โบ๊ตไม่รู้หรอก ต้องทำยังไง โบ๊ตขอเล่าออกมาจากความรู้สึกให้ฟังละกัน หลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ ทีมงานก็เรียกให้โบ๊ตไปทำงานนี้
บรรยากาศในวันที่ถ่ายทำเป็นอย่างไรบ้าง ผู้กำกับได้บอกอะไรก่อนเข้าไปในโรงหนัง
วันนั้นโบ๊ตรู้สึกว่า ไม่เป็นตัวของตัวเองเลย มันมีความรู้สึกที่อธิบายที่ออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ผู้กำกับก็บอกกับโบ๊ตว่า ให้โบ๊ตเป็นโบ๊ต ให้เล่าออกมาจากความเป็นโบ๊ต การทำงานในครั้งนั้นมันแทบจะไม่มีสคริปต์ โบ๊ตได้เล่าสิ่งที่โบ๊ตรู้สึกจริงๆ แต่โบ๊ตทำงานภายใต้ความสับสนของคนในประเทศ ในห้องนั้นมีคนที่เข้ามานั่งโดยไม่รู้ว่า เข้ามาแล้วจะเจออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องมานั่งฟังเรื่อง ในหลวง นั่นแปลว่า อาจจะมีการ walk out เฮ้ย แบบนี้ผมไม่ชอบ เกิดขึ้นจริงๆ ก็ได้ คนเหล่านั้นรู้แค่ว่า ต้องมานั่งในโรงหนัง ถ่ายเรื่องบางเรื่อง แล้วจะมีเซอร์ไพร้ส์ มีกล้องอยู่สี่ตัว โบ๊ตต้องเล่าเรื่องแล้วไม่รู้ว่าฟีดแบ๊กจะเป็นอย่างไร แล้วมีโอกาสเล่าแค่เทคเดียว
ขณะที่คุณโบ๊ตเล่า คุณโบ๊ตนึกถึงอะไรอยู่ครับ
ในขณะที่โบ๊ตเล่า ในใจโบ๊ตร้องเพลง เพลงหนึ่ง ชื่อเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” เป็นเพลงเทิดพระเกียรติในหลวงทรงครองราชย์ครบ 50 ปี ซึ่งในช่วงนั้นโบ๊ตจะได้ฟังทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน
โบ๊ตมองว่า ต้นไม้มันโตสองด้าน ด้านหนึ่งนั้นโตอยู่บนดิน คือ กิ่งก้านใบและดอกผล อีกด้านหนึ่งคือ รากที่ค้ำยัน แต่คนส่วนใหญ่คิดว่า ต้นไม้นั้นโตด้านเดียว เวลาทำอะไรสำเร็จนั้นมันก็จะออกดอกออกผล แล้ววัดทุกอย่างจากผลลัพธ์ทั้งหมด แต่ที่สุดแล้วมันอยู่ที่ ราก กว่าที่ต้นไม้จะออกดอกออกผลได้นั้น รากมันโตไม่รู้เท่าไหร่ เหมือนกับเมล็ดที่ปลูกลงไป ผ่านร้อนผ่านหนาว โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันจะโตหรือเปล่า
คนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการทำรากให้มันโต คนมักจะให้ความสำคัญกับการทำใบ ทำดอก ให้มันโต แต่ท้ายที่สุดแล้ว ต้นไม้ที่รากไม่โต แปปเดียวต้นมันก็ล้ม เหมือนกับธุรกิจที่รากไม่ได้หยั่งลึก คุณขายเก่ง คุณทำการตลาดเก่ง แต่เมื่อมีคนมาทำแข่ง ธุรกิจของคุณมันก็ล้ม แต่ถ้าต้นไม้ของคุณมันหยั่งรากลึก ตามคอนเซ็ปต์คำว่า “ยั่งยืน” ลมมาแรงแค่ไหน มันก็ไม่ล้ม เพราะรากมันหยั่งลึกไปแล้ว
เพลง “ต้นไม้ของพ่อ” มันจึงเป็นเหมือนแรงบันดาลใจ ระหว่างที่เล่าเรื่องของในหลวงอยู่นั้น โบ๊ตก็ร้องเพลงนี้อยู่ในใจ เพื่อเชื่อมโยงความรู้สึกส่งถึงกัน เหมือนได้รับภารกิจให้ทำบางสิ่งบางอย่างตามเจตนารมณ์ แม้เพียงเศษส่วนเดียวเท่านั้น
“นานมาแล้ว พ่อได้ปลูกต้นไม้ไว้ให้เรา เพื่อวันหนึ่งจะบังลมหนาว และคอยเป็นร่มเงา ปลูกไว้เพื่อพวกเรา ทุกๆคน”
แค่ท่อนแรกก็สั่นสะเทือนความรู้สึกของโบ๊ตแล้ว สิ่งที่สะท้อนใจคือ ทำไมถึงมีใครบางคนที่คิดอะไรบางอย่างเพื่อเราได้ไกลขนาดนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว การปลูก ถั่วงอก กับ ต้นไม้ใหญ่ ถ้าปลูกถั่วงอกเนี่ย เก็บกินได้ง่ายมากเลยนะ พระองค์ท่านสามารถเสวยสุข โดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดถึงคนอื่น ระยะเวลาชั่วชีวิตหนึ่งของคนเรานั้น มันจะนานแค่ไหน อย่างมากก็หกสิบเจ็ดสิบปี แต่ทำไมยังมีคนๆ หนึ่ง คิดแทนเราได้ยาวนานมากขนาดนั้น โบ๊ตคิดและตกผลึกได้ว่า พระองค์มีพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับใครสักคน เป็นภารกิจบางอย่างที่ยิ่งใหญ่มาก ที่เวลามอง ต้องมองไกลมากๆ ต้องมองอะไรเผื่อไว้มากๆ เพื่อทำให้คนที่อยู่เดินต่อได้
“พ่อใช้เหงื่อแทนน้ำรดลงไป เพื่อจะผลิดอกใบ ออกผล ให้เราทุกๆคน เติบโตอย่างร่มเย็น ในบ้านเรา”
ประโยคนี้มันคือคำว่า เสียสละ คนๆ หนึ่งจะเสียสละอะไรได้มากขนาดนี้ หัวใจต้องยิ่งใหญ่ขนาดไหน ใช้คำว่า “พ่อใช้เหงื่อแทนน้ำรดลงไป” ต้องใจกว้างมาก ถ้าบอกว่าพระองค์คือ พระโพธิสัตว์ บางทียังน้อยไป พ่อทำ ทำ ทำ ทำ เพื่อพิสูจน์ในสิ่งที่พ่อคิด ในสิ่งที่พ่อพูด ว่ามันเป็นไปได้ สิ่งนี้ทำให้โบ๊ตกลับมามองตัวเองว่า สิ่งที่เราทำ มันเป็นเศษ มันเล็กน้อยมาก
“ผ่านมาแล้วห้าสิบปี ต้นไม้นั้นสูงใหญ่ ลมแรงเท่าไร ก็บรรเทา”
ประโยคนี้ มันเป็นประโยคที่ทำให้โบ๊ตรู้สึกเลยว่า โคตรจริง โบ๊ตได้มีโอกาสไปศึกษางานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ โบ๊ตได้เจออาจารย์เงาะ (พีระพล ทับทิมทอง) อาจารย์ได้เล่าเรื่องที่มาของโครงการนี้ให้ฟัง โบ๊ตนั่งฟังไปก็ร้องไห้ไป พ่อทำให้ทะเลทรายกลายเป็นป่าได้ ไม่เห็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว พ่อทำเพื่อคนเจ็ดสิบล้านคน พ่อทำได้ไง และสิ่งที่พ่อทำ พ่อลงไปทำถึงรากของประเทศ คนที่บริหารประเทศ ก็ไปโฟกัสเรื่องเศรษฐกิจ ไปทำให้ประเทศเดินหน้า แต่พ่อมีหน้าที่ไล่อุดรูรั่วของประเทศ
องค์ความรู้ที่พ่อให้ไว้ มันคือคำว่า Wisdom (ความฉลาด) ไม่ใช่แค่คำว่า Knowledge (ความรู้) มันลึกซึ้งมาก ถ้าเราเข้าใจถึงรากได้ มันจะสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทุกประเทศ ถ้ามองเปรียบเทียบเป็นการทำธุรกิจ เราสามารถทำฝนหลวงในทุกประเทศได้ เราสามารถบริหารจัดการน้ำในทุกประเทศทั่วโลกได้ โดยอาศัยองค์ความรู้พื้นฐานของพ่อ ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะจนเลย คนส่วนใหญ่มองเห็น แต่ไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อทำไว้ให้
เพลงแค่สามช่วงนี้ ก็เล่าในสิ่งที่โบ๊ตเห็นได้แล้ว มันถึงได้อินมาก เพียงแต่โบ๊ตเอามาเล่าในมุมที่ไม่ใช่การเกษตร เล่าในมุมของนักธุรกิจ โบ๊ตอาจไม่ได้เล่าทั้งหมด แต่แก่น โบ๊ตก็นำมาจากสิ่งที่พ่อทำให้เห็น
“ออกผลให้เก็บกิน แตกใบเพื่อให้ร่มเงา คอยดูแลเรา ให้เรายังมีวันต่อไป”
คำนี้มันลึกซึ้งมากเลย คำว่า “ออกผลให้เก็บกิน” พ่อเราเป็น พระบิดาเรื่องน้ำ พ่อเราเป็น พระบิดาเรื่องดิน แค่สองเรื่องนี้ เราสามารถเอาองค์ความรู้ของพ่อไปช่วยเหลือประเทศต่างๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเม็ดเงินกลับมาช่วยพัฒนาประเทศของเราได้แล้ว ประเทศไทยไม่มีทางขาดดุลการค้า ไม่มีทางเลย เพราะพ่อเคยพูดไว้แล้วว่า ปัญญาของคนเท่านั้นที่จะชนะหุ่นยนต์ได้
ต้นไม้ที่พ่อปลูก คือ “ต้นไม้แห่งปัญญา” โบ๊ตเป็นแค่ตัวกลางนำเรื่องนี้ มาเล่าต่อเพื่อเชื่อมโยงให้คนรุ่นใหม่เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น เวลาที่โบ๊ตร้องเพลง “ต้นไม้ของพ่อ” อยู่ในใจ มันทำให้โบ๊ตเห็นถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของประเทศ ถ้าเราทำสิ่งนี้สำเร็จ ประเทศไทยจะพลิกกลับขึ้นมาได้ขนาดไหน ประเทศไทยอาจกลายเป็นมหาอำนาจของโลกเลยก็ได้ แต่ไม่ใช่ผู้นำทางเศรษฐกิจนะ แต่เป็นผู้นำที่ทำให้โลกนี้ร่มเย็น
ในคลิปนี้ หลังจากคุณโบ๊ตพูดจบ คุณโบ๊ตต้องเป็นต้นเสียงร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี ความรู้สึกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ
เราจะสรรเสริญใครได้มากกว่านี้ โบ๊ตว่า ไม่มีอีกแล้ว โบ๊ตว่ามันยากมากที่คนอื่นจะเข้าใจสภาวะตอนที่เราร้องเพลงสรรเสริญแล้วระลึกถึงสิ่งนั้นแล้วเข้าใจจริงๆ มันลึกซึ้งมาก เพราะเพลงสรรเสริญพระบารมี คือการระลึกถึงคุณงามความดีของใครคนหนึ่งทั้งเพลง เวลาร้องเพลงนี้ ขึ้นต้นเพลงมา “ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน” แค่ประโยคนี้ ก็ก้มลงกราบแล้ว แค่ประโยคเดียว ถ้าคนจะระลึกถึง ไม่เห็นต้องฟังทั้งเพลง ก็ระลึกด้วยความรู้สึกแบบนั้นแล้ว
โบ๊ตว่า ผู้แต่งมหัศจรรย์มาก (คำร้องเป็นพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) เป็นความรู้สึกว่า เหมือนตอนเราร้อนๆ อยู่ แล้วมีลมเย็นๆ พัดมา เหมือนเวลาเราท้อมากๆ กำลังจะหมดหวัง ยังมีใครอีกคนหนึ่งเป็นที่พึ่งให้เราไม่หมดหวัง
ล่าสุดโบ๊ตไปทำงานให้กับที่หนึ่ง แล้วโบ๊ตก็ชวนทุกคนร้องเพลงนี้ แล้วโบ๊ตก็น้ำตาไหลออกมาเอง ถามว่า ทำไมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ คือ เราไม่ได้ร้องไห้ตามกระแส เวลาคิดถึงพ่อ เราคิดถึงในคุณงามความดี คิดถึงในสิ่งที่พ่อทำ คิดถึงเสียงพ่อ เวลาเราคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เราจึงร้องไห้ออกมา
ในวันที่ถ่ายทำ ผู้กำกับบอกว่า ห้ามดราม่า ห้ามพูดในโทนเศร้า ให้พูดในทาง positive ให้พูดแล้วยิ้ม บทโฆษณานั้นจึงออกมาเป็นแบบนี้ ตอนนั้นที่เราต้องพูดถึงความดีของพ่อ มันอินมาก น้ำตามันก็ไหลออกมาโดยที่เราไม่รู้สึกตัว
ทุกครั้งที่เราไปดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้วต้องยืนตรงเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นเหมือนความเคยชินไปแล้ว แต่ถ้าถามตอนนี้ คุณโบ๊ตรู้สึกอย่างไรครับ
เวลาที่เราเข้าไปดูหนัง แล้วได้ร้องเพลงนี้ เราจะได้เห็นพระราชกรณียกิจ มันมีความภูมิใจในสิ่งที่คนอื่นไม่มี เพราะเรารู้สึกว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอิจฉา เรามีใครบางคนที่คนทั้งโลกต้องอิจฉา แต่แค่วันนี้คนทั้งโลกเค้าไม่รู้ว่า ทำไมต้องอิจฉา เป็นเพราะเค้าไม่เคยได้รับสิ่งนั้น โบ๊ตเชื่อว่า ถ้าเค้าได้สัมผัสสิ่งนั้น เค้าจะอิจฉาที่วันนี้เรามี
ดังนั้นเวลาที่เราร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี จึงไม่ได้มีแค่อารมณ์เดียว เราไม่ใช่แค่รู้สึกเทิดทูนอย่างเดียว แต่มีความรู้สึกหลายๆ อย่างระคนกัน โบ๊ตเรียกความรู้สึกนี้ว่า “รัก” แต่ “รัก” คำนี้ไม่ได้เป็นรักของโบ๊ตนะ แต่เป็นรักของคนไทย มันยากที่จะอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่อยากจะอธิบายแบบนี้ว่า เวลาเราร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เราจะคิดถึงคนที่เรารัก เวลามีคนมาถามว่า ทำไมเราถึงรัก มันตอบไม่ได้ แต่ทั้งหมดที่ผ่านมาในชีวิตเนี่ย มันคือ “รัก”
ถ้าตอนนี้มีใครมาถามโบ๊ตอีกครั้งว่า โบ๊ตรักในหลวงเพราะอะไร โบ๊ตตอบได้เลยว่า โบ๊ตรักในหลวง ชีวิตโบ๊ตดีขึ้น เพราะปัญญาของพระองค์ วันที่โบ๊ตร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีนั้น ชีวิตโบ๊ตจะไม่แย่อีกแล้ว เหมือนในคลิปที่บอกว่า ให้คุณไปหาเหตุผล โบ๊ตมีเหตุผลที่โบ๊ตจะยืนร้องไห้ เพราะว่าโบ๊ตขอบคุณ ปัญญาของพระราชา ที่ทำให้โบ๊ตอยู่มาถึงจุดนี้ได้ ในการที่โบ๊ตจะลุกขึ้นสรรเสริญใครสักคน นั่นเป็นเพราะโบ๊ตเข้าใจเหตุผลว่า ลุกขึ้นสรรเสริญเพราะอะไร
ในช่วงงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของในหลวง เป็นช่วงที่โบ๊ตบวชแล้วเพิ่งสึกออกมา โบ๊ตเห็นภาพที่คนไทยใส่เสื้อเหลืองไปรวมตัวกันที่หน้าพระที่นั่งอนันตมหาสมาคมแล้วในหลวงโบกพระหัตถ์ โบ๊ตเห็นแล้วน้ำตาไหล ก้มลงไปกราบที่หน้าทีวีเลย มันคือความศรัทธาที่เห็นคนๆ หนึ่งเป็นตัวอย่างได้ในทุกๆ ด้าน มองย้อนมาดูที่ตัวเราเอง เรายังเป็นตัวอย่างในบางเรื่องให้คนรุ่นต่อไปไม่ได้เลย แต่พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างได้ในทุกๆ เรื่อง เป็นตลอด เราจะไปทำงานในป่า 365 วัน เรายังทำไม่ได้เลย ให้คนเอาเงินมาให้เดือนละล้าน โบ๊ตเชื่อว่า ก็ไม่มีใครทำ แต่ในหลวงทิ้งความสุขของพระองค์เองเพื่อความสุขของประชาชนทั้งเจ็ดสิบล้านคน เราจะหาได้จากที่ไหนในโลกนี้ ไม่มีอีกแล้ว
ถ้าพ่อรับรู้ได้ คุณโบ๊ตอยากจะพูดอะไรถึงพ่อครับ
โบ๊ตคิดว่าสิ่งที่พ่อทำมัน “วิเศษ” ไม่ใช่แค่ “พิเศษ” เพราะมันมาจากพื้นฐานของความรัก ความหวังดี และความปรารถนาดีจริงๆ ถ้าไม่มีสามสิ่งนี้ ไม่มีทางที่พ่อจะเสียสละได้ขนาดนี้ โบ๊ตเป็นคนรุ่นใหม่ โบ๊ตซาบซึ้ง และโบ๊ตก็อยากจะขอบคุณ โบ๊ตอยากจะบอกกับพ่อว่า
“โบ๊ตจะไม่ทำให้พ่อผิดหวังที่มีโบ๊ตเป็นลูก แล้วโบ๊ตจะไม่ล้มเลิกในสิ่งที่ตั้งใจไว้ แม้มันจะล้มเหลวกี่ครั้ง โบ๊ตก็จะไม่เลิก โบ๊ตจะทำตามอย่างพ่อ แม้ว่ามันจะยังไม่สำเร็จในรุ่นโบ๊ต ถึงโบ๊ตจะไม่อยู่แล้ว โบ๊ตจะทำเป็นแบบอย่างให้คนรุ่นต่อไปทำต่อ ทำจนถึงวันที่โบ๊ตหมดลมหายใจเช่นกัน” นี่คือสิ่งที่โบ๊ตอยากจะพูดกับพ่อครับ
เมื่อได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ คุณคงได้คำตอบที่ประจักษ์อยู่ในใจของคุณและคนไทยทุกคนแล้ว ผมเชื่อเหมือนกับที่คุณโบ๊ตเชื่อมาตลอดว่า ครั้งต่อไปที่เพลง สรรเสริญพระบารมี ดังขึ้น ทุกคนจะระลึกได้ว่า ท่านกำลังยืนถวายความเคารพให้กับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของ “สมเด็จพระภัทรมหาราช” หมายถึง พระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง ที่มีพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
ข้าวรพุทธเจ้า เอามโนและศิระกราน
นบพระภูมิบาล บุญดิเรก
เอกบรมจักริน พระสยามินทร์
พระยศยิ่งยง เย็นศิระเพราะพระบริบาล
ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์
ขอบันดาล ธ ประสงค์ใด
จงสฤษดิ์ดัง หวังวรหฤทัย
ดุจถวายชัย ชโย
พรุ่งนี้เช้า (22 ตุลาคม 2559) เรามีนัดรวมตัวกันทีท้องสนามหลวง ตั้งแต่ 10 โมงเช้าเป็นต้นไป เตรียมร่างกายให้พร้อม แล้วไปเปล่งเสียงร้องเพลง สรรเสริญพระบารมี ด้วยทุกถ้อยคำที่ออกมาจากใจพร้อมๆ กันนะครับ
Interview : ธนกฤต ชัยสุวรรณถาวร