WHO # Hip Hip to talk with เบล เศรษฐพร : เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้นั่งคุยกันกับ Painterbell นักวาดภาพประกอบคนรุ่นใหม่ไฟแรง เจ้าของผลงานสติกเกอร์ John and Lulu ตัวการ์ตูนที่ครีเอทขึ้นมาจากความชอบในวัยเด็กของเขาอย่างเรียบง่าย แต่กลับสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนที่ชื่นชอบการวาดรูปการ์ตูนมากมาย ทั้งนักเรียน นักศึกษา รวมถึงคนวัยทำงานด้วย
Painterbell มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า เบล เศรษฐพร ก่อวาณิชกุล แต่เราขอเรียกเขาว่า เบล ตามที่เขาชอบเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อนี้บ่อยๆ เรานัดเจอกับเบลในช่วงบ่ายวันศุกร์ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งย่านถนนวิทยุ ซึ่งผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก เหมาะกับการนั่งสนทนากันสบายๆ พอได้เจอกับเบลครั้งแรก เรารู้สึกว่า เขาตัวเล็กๆ และหน้าเด็กมาก-ก-ก น่าจะเพิ่งเรียนจบแน่ๆ บทสนทนาแรกที่เราทักทายเขาอย่างเสียมารยาทกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่มันเซอร์ไพร้สเรามาก จนอดถามเขาไม่ได้ว่า
“เบล ตัวจริงดูเด็กจัง ขอโทษนะครับ ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
เขาหัวเราะร่าแล้วตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีว่า
“ไม่เป็นไรครับพี่ มีคนทักเบลแบบนี้เยอะมาก เห็นตัวเล็กๆ หน้าดูเด็กแบบนี้ เบลจะขึ้นเลขสามแล้วนะ ปีนี้เบลอายุ 28 ปีแล้วครับ”
เรานั่งคุยทำความรู้จักกันสักพัก ก่อนจะคุยกันถึงผลงานการวาดภาพของ Painterbell ทำให้เรารู้จักตัวตนของ เบล เศรษฐพร มากขึ้น นอกจากเบลจะตัวเล็กและหน้าเด็กแล้ว เสียงหัวเราะที่เปื้อนยิ้มก็ยังเหมือนเด็กมากๆ อีกด้วย วันนี้เราขอทำหน้าที่พา ชาว FAVFORWARD ทุกคนไปทำความรู้จักตัวตน ไลฟ์สไตล์ และที่มาของ ผลงานต่างๆ ของผู้ชายอารมณ์ดีคนนี้ให้มากขึ้น
เบลเล่าถึงตัวเองว่าเป็นคนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก อาจเป็นพรสวรรค์ของเขา หรืออาจเป็นเพราะเขาได้รับอิทธิพลจากตัวการ์ตูนในหนังสือนิทานที่เขาชอบอ่าน
จำความได้ เบลก็ชอบวาดรูปแล้วครับ อาจเป็นเพราะพรสวรรค์ด้วยมั้งครับ จำได้เลยว่า ตอนเรียนอนุบาล เบลไปขโมยชีทสีน้ำตาลแบบสมัยก่อนของครู มาวาดรูปเล่น เพื่อนๆ ก็จะมายืนดูเราวาด เราก็รู้สึกว่าตัวเองคงเก่งทางด้านนี้แหละ เวลาเรียนวิชาศิลปะ เพื่อนก็เดินมาขอให้เราวาดรูปให้ ตอนนั้นวาดการ์ตูนได้หน่อมแน๊มมากครับ (หัวเราะเขินๆ) เบลชอบวาดตัวการ์ตูนเด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิงแบบก้างปลา แล้วก็พวกไดโนเสาร์ ก็อตซิล่า ที่เด็กๆ สมัยนั้นชอบกัน เบลไม่เคยเรียนวาดรูปแบบจริงจังนะ แต่รู้ว่าตัวเองชอบวาดรูปมาก ตอนเด็กๆ เราติดการ์ตูน Tintin หนังสือนิทานสมัยก่อน มันทำให้เราติดภาพพวกนั้นมา
พอโตขึ้น มีหลายสิ่งที่เบนความสนใจของเบลไป จึงทิ้งการวาดรูปไปหลายปี จนถึงตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เบลเลือกเรียนคณะนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต และมีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณา งานของเบล นอกจากจะต้องวาดรูปในคอมแล้ว เบลต้องวาดมือด้วย มันคงถึงเวลาที่เบลจะกลับมาวาดรูปอีกครั้ง
การกลับมาวาดรูปครั้งนี้เบลยังติดสไตล์การวาดแบบเด็กๆ อยู่ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่จุดเริ่มต้นของ Painterbell และ John and Lulu เบลเล่าที่มาของการ์ตูนให้เราฟังต่อว่า
ตอนนั้นตัวคาแรกเตอร์ยังไม่ชัดเจนเท่านี้ เบลว่า ตอนแรกๆ ทุกคนคงอยากมีสไตล์เป็นของตัวเองแหละ แต่ที่มาเป็นสไตล์นี้ได้มันเริ่มมาจาก เมื่อสองปีที่แล้ว เบลไปร้านกาแฟ Everyday Karmakamet ที่นั่นจะมีสี มีโปสการ์ด มีอุปกรณ์ต่างๆ ให้เราเขียนหรือครีเอทอะไรก็ได้ แล้วเอาไปติดตามกำแพงของร้าน เบลรู้สึกประทับใจมาก มีร้านแบบนี้ด้วยเหรอ รู้สึกอยากวาดรูปจัง เบลก็เริ่มวาด แล้วก็คิดในใจว่า วาดยังไงไม่ให้อยู่แค่ในกรอบเหมือนคนอื่นๆ เบลวาดเสร็จแล้วตัด die-cut ออกมาเป็นตัวการ์ตูน เอาไปติดตรงนู้นตรงนี้ในร้าน เบลไปร้านนี้บ่อย ทุกครั้งที่ไปก็จะวาดแล้วติดเพิ่มเรื่อยๆ
จนเริ่มมีคนมาถ่ายรูปไปลงอินสตาแกรม หลังจากนั้นก็เริ่มมีคนมาถามว่า ใครวาดรูปพวกนี้ ตอนนั้นหน้าตาตัวการ์ตูนยังไม่ใช่แบบที่เห็นกันทุกวันนี้ แต่ก็มีความคล้ายกัน คือ เป็นเด็กผู้ชายหัวเหลือง เป็นเด็กหัวฟู เป็นเด็กผู้หญิงผูกโบว์ใหญ่ๆ มีแมวบ้าง มีบ้านบ้าง เอาไปซ่อนตรงนั้นตรงนี้ของร้าน พอคนไปหา ก็ถ่ายมาลงอินสตาแกรมอีก เราก็ อุ๊ย! รูปที่เราวาดมันมีผลต่อคนอื่นที่มาเห็นด้วย คนเริ่มชอบ เราก็เริ่มฝึกฝีมือตัวเองมากขึ้น ทำยังไงให้พวกเขาเหล่านั้น (ตัวการ์ตูน) ชัดขึ้น
เราโชคดีที่ว่า พี่เอจ (ณัทธร รักษ์ชนะ) เจ้าของร้าน Everyday Karmakamet ชอบสไตล์การวาดของเราพอดี เค้ามาบอกเบลว่า การ์ตูนที่เราวาดน่ารักมาก ทำต่อไปนะ เค้าชอบสไตล์นี้ มันดูฝรั่งเศส มันดูอินโนเซ้นท์ดี จากตอนแรกเราเข้าไปก็วาดแล้วติดตามจุดเหมือนคนอื่น แต่พอเราวาดไปแล้วมีคนเริ่มชอบ คนรู้จักแล้ว ก็อยากทำอะไรให้พิเศษมากขึ้น เบลเห็นหน้าร้านมันมี Text Display เขียนว่า YOU ARE MY EVERYDAY! เบลเลยเอาตัวการ์ตูนไปติดตรงนั้นเหมือนเป็นดิสเพลย์ให้ร้านไปเลย คราวนี้คนก็ยิ่งถ่ายยิ่งแชร์ไปเรื่อย จุดนั้นทำให้มีคนมาติดต่อเบลไปถ่ายลงหนังสือ มีแกลเลอรีเป็นของตัวเอง มันมาจากจุดเริ่มต้นตรงนี้ทั้งหมด เป็นสิ่งที่เบลประทับใจมากครับ ทุกครั้งที่คนมาสัมภาษณ์ เบลมักพูดถึงร้านนี้เสมอ
ส่วนคาแรกเตอร์ของ John and Lulu มาจากตัวเบลและคนรอบข้างครับ อย่าง John ก็เป็นตัวเบลเลย สมัยก่อนเบลโกรกผมสีทอง เบลเริ่มวาดตัวเองก่อน แล้วก็วาดเพื่อนเรา น้องเรา เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันครับ เวลาเราวาด แอคชั่นหรือท่าทางต่างๆ เราก็ดึงคาแรกเตอร์จากคนใกล้ตัวนี่แหละ มันเลยง่าย เบลจะอินเวลาวาด หลังๆ มานี้ มีผู้ใหญ่เริ่มทัก “เฮ้ย! มันดูฝรั่งเศสดีเบล” มันเหมือนการ์ตูนเจ้าชายน้อยบ้าง เหมือนตินตินบ้าง ซึ่งคนไทยยังไม่ค่อยมีใครวาดแบบนี้ งั้นเรามาทางนี้ดีกว่า จะได้แตกต่างจากคนอื่น
ทำไมเบลถึงชอบลายเส้นการ์ตูนแบบนี้
เบลเป็นคนไม่ซับซ้อน เพราะฉะนั้นเบลคิดว่า วาดอะไรที่คนดูแล้วแบบ “เฮ้ย! น่ารัก” จบ ไม่ใช่ว่าดูยังไงวะรูปนี้ หรือว่าดูเข้าใจยากนะ เบลชอบสื่อสารแบบตรงไปตรงมามากกว่าครับ ส่วนการลงสีหรือเทคนิคเนี่ย ตอนแรกก็มั่วอยู่เหมือนกัน เพราะเบลไม่เคยเรียนศิลปะมาเลย ลงสีก็ไม่เป็น ก็ลงตามที่ตัวเองชอบแหละ ถ้าตัวเองเห็นว่าสวยก็ลง สีที่ใช้ก็เป็นสีโปสเตอร์ สีอะคริลิค แล้วก็มีสีชอล์ค ให้รู้สึกมี texture มีมิติมากขึ้น
หลังจากไปร้าน Everyday Karmakarmet เบลไปเลือกซื้อสีเยอะมาก ซื้อกระดาษหลายๆ แบบ แล้วลองวาดกระดาษแบบนี้ออกมาเป็นยังไง สีโดนกระดาษแบบนี้แล้วต่างกับกระดาษอีกแบบยังไง คือทดสอบเยอะมาก พอทำงานมีเงินเก็บ ทีนี้ ซื้อสีมั่วเลยนะครับ ทั้งสีชอล์ค สีเทียน สีน้ำ สีอะคริลิค สีโปสเตอร์ แล้วก็สีสเปรย์ด้วย แล้วก็เอามาลองทำไปเรื่อยๆ
หลังจากผลงานของเบลเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น โอกาสก็เดินเข้ามาหาเขาอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ทักทายและชื่นชม แต่เขาได้ถูกชวนไปเปิดแกลเลอรี่แสดงผลงานภาพวาดของตัวเองเป็นครั้งแรก
ตอนแรกๆ ที่ตัวการ์ตูนของเบลยังไม่เป็นคาแรกเตอร์ชัดเจนแบบนี้ เบลเคยมีผลงานชิ้นใหญ่ๆ ไปจัดแสดงในแกลอรี่ที่ 56th Studio สุขุมวิท31 ของพี่โอ (ศรัณย์ เย็นปัญญา) จัดไปเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว (พ.ศ. 2558)
ตอนนั้นพี่โอติดต่อเข้ามาทางอินสตาแกรมบอกว่า ภาพวาดสไตล์นี้ยังไม่ค่อยเห็นในไทย เคยจัดแกลเลอรี่ที่ไหนบ้างหรือยัง สนใจมาจัดแกลเลอรี่ที่นี่มั้ย มีเวลาให้สามเดือนนะ เตรียมงานทันมั้ย เราก็นึกในใจว่า เอาสิ มีโอกาสแล้ว (หัวเราะ) คือ ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ ใครวาดรูปอินสตาแกรมแล้วจะมีโอกาสแบบนี้ เบลเลยตอบตกลงพี่เค้าไป พี่โอเค้าก็น่ารักมาก ทำพีอาร์ ทำโปสการ์ดแจกในงานให้ด้วย เบลมองย้อนกลับไปดูผลงานตัวเองในวันนั้น เบลรู้สึกขำๆ นะ งานเราดูประหลาดๆ ตัวการ์ตูนยังไม่ชัดเจนเท่าทุกวันนี้ แต่ตอนนั้นก็เริ่มมี John และเพื่อนๆ เป็นกิมมิคในงาน ให้คนถือถ่ายรูปแล้วล่ะครับ
ตอนนั้นเบลมีเวลาสามเดือนในการเตรียมตัวสำหรับงานนี้ ถือว่าน้อยมากสำหรับการคิดงาน หรือสร้าง story ขึ้นมา ครั้งนั้นเบลตีโจทย์ออกมาจากเนื้อเพลงที่เบลชอบแล้วตีความออกมาเป็นภาพ พอเราตั้งโจทย์ของเราได้แล้ว เราก็ทำของเราไปเรื่อยๆ แต่ให้มันจุดแข็งของเรา
ฟีดแบ็กจากงานนั้นมันดีมาก เบล งง มาก ว่า มีคนมาดูงานเราด้วย ก่อนเริ่มจัดแสดง เบลไม่คิดเลยว่า ฟีดแบ็กจะดีขนาดนี้ เพราะเบลไม่รู้จักคนในวงการนี้เลย ตอนนั้นเราคิดแค่ว่า ถ้าเราจะจัดแกลเลอรี เราจะทำอะไรดี คือ ให้คนที่เค้ามางานเราได้อะไรติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย เบลเลยจัดเป็น portrait drawing ประกาศออกไปว่า ใครมาก่อนสิบคนแรก เบลจะวาดรูปให้ฟรีเลย แต่จริงๆ แล้ว ก็วาดให้ทุกคนนั่นแหละครับ (หัวเราะ) เพราะวันงานมีคนก็มามากกว่านั้น แถมมีคนมารอก่อนงานเปิดอีกด้วยนะครับ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะเป็นครั้งแรกที่จัดวาดแบบนี้ด้วย งานนั้นเบลได้เจอคนมากมาย บางคนเป็นคนรุ่นเดียวกันที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน แต่ทุกวันนี้ก็กลายเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ซึ่งมันดีมาก การจัดแกลเลอรีครั้งนี้ทำให้มีคนตามเรามากขึ้น ตอนแรกก่อนเปิดแกลเลอรีในอินสตาแกรม whitepaperand มีคนฟอลโล่เราไม่เยอะ มีแค่สามสี่ร้อยคนเองมั้ง แต่หลังจากนั้นก็มีคนฟอลโล่ขยับขึ้นมาเป็นหลักพันแล้ว
ขอถามต่อเลยละกันว่า ชื่อที่ใช้ในอินสตาแกรมว่า whitepaperand มันมาจากอะไร
มันคือการครีเอทว่า กระดาษขาวกับอะไรก็ได้ เพราะทุกอย่างเริ่มจากกระดาษขาวหมด ร่างแบบภาพก็เริ่มจากกระดาษขาว อีกอย่างเมื่อก่อนเบลทำงาน collage ฉีกกระดาษแปะๆ อะไรแบบนี้ เลยคิดว่า whitepaperand นั่นแหละ คือ and อะไรก็ได้ เราครีเอทต่อได้เลย แล้ว painterbell เหมือนเป็นลูกของ whitepaperand อีกที ต่อไปก็อาจไปทำอย่างอื่น ก็ and อะไรต่อไป
เบลว่า อินสตาแกรม มันมีข้อดีนะ ถ้าเราเล่นให้ดี มันก็ดี มันเป็นพื้นที่ที่สามารถแสดงตัวตนของเราว่า เราชอบอะไร คนที่ชอบอะไรแนวๆ นี้ก็จะมารวมตัวกัน แล้วอยู่ๆ ก็มีคนติดต่อเข้ามาให้ไปถ่ายนู่นนี่ ดีจังเลย มันเหมือนเป็นอีกโอกาสหนึ่งที่เข้ามา เร็วๆ นี้จะมีงานถ่ายโฆษณาเข้ามา เบลเคยถ่ายโฆษณามาบ้าง แต่ถ้าเล่นซีรีส์ยังไม่เคย ถ้ามีติดต่อเข้ามาก็น่าลองเหมือนกันครับ (หัวเราะ)
หลังจากที่จัดแกลเลอรีไปไม่นานก็มีผู้ใหญ่ที่ชอบคาแรกเตอร์ตัวการ์ตูนของเขา ติดต่อให้เบลไปวาดรูปในงานอีเว้นท์ต่างๆ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น
ตรงนี้เบลงงมากเลย งานเรามีผลต่อผู้ใหญ่ด้วยเหรอ เบลนึกว่าจะมีแต่เด็กๆ หรือวัยรุ่นที่ชอบ ไม่คิดว่าผู้ใหญ่จะชอบด้วย ทุกคนพูดว่า เบลวาดรูปน่ารักมากเลย เค้าดูแล้วนึกถึงอะไรสมัยก่อนๆ
เมื่อปีที่แล้ว มีพี่จากทางสยามดิสฯ ไปที่งานแกลเลอรี่ของเบล แล้วเค้าก็ยังตามอินสตาแกรมเบลอยู่ เค้าเคยชวนให้ไปขายรูปจากแกลเลอรีที่ The Selected สยามเซ็นฯ แต่ตอนนั้นเบลยังไม่พร้อม ไม่ได้แพลนอะไรไว้ เลยข้ามไปก่อน พอดีกับทางร้าน O.D.S. (Object of Desire Store) จะเปิด เค้าเลยให้ไปทำ Display วางขายที่นั่น แล้วอยากให้เราออกแบบจานที่ระลึก เราก็บอกว่า เอาเลย ตอนนั้นมีเวลาทำน้อยมาก ก็รีบทำ รีบส่งไป ทางเค้าก็น่ารัก ปล่อยให้ออกแบบเป็นแนวเราเลย
หลังจากนี้เราจะมีโอกาสเห็น John มาโลดแล่นเป็น story แบบหนังการ์ตูนมั้ย
โห… (หัวเราะ) ก็พยามวาดๆ อยู่นะครับ ตอนเด็กๆ เบลจะชอบวาดการ์ตูนเป็นช่องๆ วาดแล้วก็เอาไปให้เพื่อนอ่าน เพื่อนก็ชอบ เคยเอามาทำรวมเล่มด้วยนะครับ หลายเล่มอยู่เหมือนกัน นานมากแล้วครับ ปัจจุบันมันไม่อยู่แล้วแหละ ทำให้เรารู้ว่า สิ่งนี้มันเป็นสิ่งที่เราชอบ ไม่เช่นนั้นเราก็คงทำไม่ได้นาน
แต่เบลนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่งว่า ในอินสตาแกรมของเบลไม่ได้แยกตัวการ์ตูนกับชีวิตส่วนตัวออกจากกัน บางทีคนอาจงงๆ ว่า เฮ้ย เป็นรูปวาดอยู่ดีดี บางทีก็เป็นการ์ตูนช่องๆ โพล่มา บางทีก็หายไปเลย สักพักก็มีรูปเบลโผล่มา ไม่ได้เรียบเรียงเป็นระบบ
จากจุดเริ่มต้นจนถึงตอนนี้ john กับ Lulu ผ่านอะไรมาบ้าง
มันมาไกลมาก-ก-ก (พูดเสียงหนักแน่น) เบลไม่อยากจะเชื่อเลย ทุกวันนี้อีเว้นท์วาดรูปเยอะมาก ไม่คิดว่ามันจะมาได้ไกลขนาดนี้ เพราะตอนวาดไม่ได้คิดอะไร วาดแล้วเอาลงอินสตาแกรม ถ้ามีคนชอบก็โอเค แต่ไปๆ มาๆ ได้ลงหนังสือ ได้จัดแกลเลอรีด้วย อ้าว! มีคนติดต่อให้ไปวาดรูปอีเว้นท์อีก คือ มันไม่ใช่การวาดรูปเล่นๆ แล้วนะ นับๆ ดูก็เกือบสิบอีเว้นท์แล้วล่ะ แทบจะกลายเป็นอาชีพหลักของเราไปแล้ว เบลจึงบอกกับตัวเองว่า เราต้องแบ่งเวลาดีดีแล้วล่ะ
สำหรับเบล เบลแฮ้ปปี้นะ ที่ทำงานสองอย่างไปพร้อมกัน เบลไม่ได้รู้สึกว่าเหนื่อยอะไร เวลาว่างของเราคือการนั่งวาดรูป อีเว้นท์ที่เข้ามาก็ท้าทายเราตลอด อย่างไปงานแต่ละครั้ง เราจะเจอคนอย่างน้อยสามสิบคนที่เราต้องนั่งวาดรูป portrait drawing ให้ บางครั้งเบลต้องพาน้องๆ มาช่วยทำงานด้วย คือเบลจะเป็นคนวาดแล้วน้องๆ ก็จะช่วยลงสี เพราะคนให้วาดเยอะมาก
ตอนนี้งานเริ่มเข้ามาเยอะขึ้น มันไปกระทบกับงานประจำที่เบลทำอยู่มั้ย
ตอนนี้ยังไม่กระทบอะไรนะครับ โชคดีที่หัวหน้าน่ารักมาก ไม่รู้จะหาได้จากที่ไหนแล้ว คือเค้าเข้าใจเบลว่า เบลทำอะไรอยู่ เค้าก็เคยพูดแหละว่า เวลางานก็อยากให้ทำงานเต็มที่ งานวาดรูปก็อยากให้ทำหลังเลิกงาน ซึ่งเราก็เข้าใจ บางทีมีอีเว้นท์ด่วนในวันธรรมดา เบลอยากทำ เบลก็ขอลา เค้าก็ให้ เค้าน่ารักมาก คือขอแค่ให้บอกก่อนว่า ไปทำอะไร
ในตัวการ์ตูนเบลมักใส่คาแรกเตอร์ของตัวเองเข้าไป แต่มันยังมีความเป็นเด็กอยู่ เบลคิดว่า ความเป็นเด็กในตัวเบลคืออะไร
เบลก็เลยดูไม่ค่อยโตเนอะ (หัวเราะร่า) ลึกคงกั๊กตัวเองอยู่ด้วยมั้ง เราชอบแบบนั้นแบบนี้อ่ะ เหมือนคนค่อนข้างเอาแต่ใจด้วยนะ แต่โอเคแหละ ถ้าเรา keep character นี้ไว้ คนรอบข้างเราก็แฮ้ปปี้ อย่างนั่งคุยกับพี่ หรืออยู่กับใครก็รู้สึกสบาย ไม่ต้องเกร็ง เบลก็เป็นของเบลแบบนี้แหละ ถ้าเราต้องวางตัวเป็นผู้ใหญ่ เบลก็รู้สึกแปลกๆ อ่ะ (หัวเราะ)
ตัวตนของ เบล กับ John มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง
เรายังติดอะไรเด็กๆ อยู่ อาจดูไม่ค่อยโต เบลเป็นคนที่ทำอะไรแล้วมีความสุข เบลก็ทำ ตัวการ์ตูนมันดูร่าเริง มันอินโนเซ้นท์ มันสะท้อนตัวตนของเบลด้วยเหมือนกัน เราลั้นลามาก เป็นคนดูมีความสุข เฮฮาได้ตลอด เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เพื่อนก็จะรู้เราจะเป็นคนพูดไม่หยุด หัวเราะตลอด บ้ามาก (หัวเราะร่า) แต่เวลาเบลอยู่คนเดียว จะชอบเปิดเพลงแจ๊สช้าๆ ฟัง เบลรู้สึกว่า เวลาที่เราอยู่คนเดียว เราจะมีสมาธิในการนั่งวาดรูป เราจะนึกโมเม้นท์ขำๆ ของเราว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาเราทำอะไร ไปไหนมาบ้าง อย่างพอนึกได้ว่า เราทำแก้วกาแฟหก เบลก็เอามาวาดเป็นภาพ
ถ้าพูดถึงตัวตนของ เบล กับ John เหมือนหรือต่างกันอย่างไรบ้าง เบล คงโตกว่า John มั้ง (หัวเราะ) เพราะ John เด็กมาก อายุประมาณ 5-6 ขวบ เบล คงเหมือน john ตอนโต จริงๆ เบลก็ยังมีความเป็นเด็กอยู่ อย่างที่บอกไปนั่นแหละ (หัวเราะ) เวลาไปเจอผู้ใหญ่ เค้าจะชอบทักว่า อ้าว! เรียนจบทำงานแล้วเหรอ เราก็ โหว-ว-ว! ทำนานแล้วค้าบ-บ-บ (หัวเราะร่า) คือทุกคนพูด ทำไมดูเด็กจังวะ จะดีมั้ยเนี่ย (หัวเราะอารมณ์ดี) แต่เราก็เข้าใจนะ เราทำงานสายศิลปะ เราไม่ต้อง keep look ใส่สูทผูกไทด์ตลอดเวลา คาแรกเตอร์เราเป็นยังไงก็ตามนั้นแหละ สายนี้เค้าดูที่ผลงาน มันดีตรงนี้ครับ
อยากให้เบลเล่าถึงวันทำงานของเบลบ้าง
บริษัทที่เบลทำงานอยู่ชื่อ Mute ทำงานออกแบบ Key Visual ให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ หรือ DITP (Department of International Trade Promotion, Ministry of Commerce, Thailand) เบลทำงานกราฟฟิกมันก็สนุกอยู่แล้วแหละ ทำงานอยู่หน้าคอมฯ ได้เห็นงานใหม่ๆ ดูผ่านออนไลน์ มันก็สนุกดี เบลเหมือนแบ่งเป็นสองคน คือ คนที่ทำงานกราฟฟิกที่วาดรูปในคอมฯ พอเย็นกลับบ้านมาปุ๊บ เราก็อยากวาดรูปลงกระดาษ จริงๆ แล้วมันก็คือการวาดรูปเหมือนกันนั่นแหละครับ แต่ต่างกันที่วาดลงกระดาษกับวาดลงคอมฯ มันก็มีความสนุกที่ต่างกัน
ส่วนตัวเบลชอบวาดรูปลงกระดาษมากกว่า เพราะวาดในคอมฯ มันมีกรอบ มีอะไรที่ต้องทำตามลูกค้า แต่ถ้าวาดรูปของเราเอง เราก็คิดคอนเซ็ปต์ คิดอะไรทุกอย่างได้เอง ไม่ต้องถามใคร เอาจริงๆ จะวาดรูปลงคอมฯ หรือลงกระดาษ มันก็แฮ้ปปี้ทั้งคู่นั่นแหละ เพราะเบลชอบวาดรูปอยู่แล้วครับ
แล้ววันว่างของเบลล่ะ เบลมักใช้เวลาไปกับอะไร
วันว่างของเบล เบลชอบออกไปร้านกาแฟ ช่วงนี้ร้านเปิดใหม่เยอะ บ้านเราเริ่มมีร้านแปลกๆ เหมือนเมืองนอก เป็นธีมร้าน เดี๋ยวนี้มีธีมที่ชัดขึ้น เมื่อสิบปีที่แล้วคงไม่มีอะไรเยอะขนาดนี้ เบลไปร้านกาแฟแต่ไม่กินกาแฟนะ เบลชอบกินชาเขียวมาก เวลาไปร้านกาแฟแต่จะสั่งแต่ชาเขียวใส่นม ไปร้านไหนขอให้มีชาเขียว
เบลทำงานด้านดีไซน์ นอกจากไปกินชาเขียวแล้ว เบลจะไปดูว่าเค้ามีอะไรบ้าง เพราะอนาคตเรามีแพลนอยากเปิดร้านเป็นของตัวเองบ้างเหมือนกัน ไปดูว่า ทำไมออกแบบร้านอย่างนี้ ทำไมต้องใช้สีนี้ ด้วยนิสัยของกราฟฟิกดีไซน์จะมีความจุกจิกนิดนึงแหละ (หัวเราะ) ตรงนั้น text เล็ก text ใหญ่ คือวิจารณ์อยู่ในใจ ถ้าเราทำ เราจะทำแบบนี้มั้ย อะไรแบบนี้
ถ้าเป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เบลมักจะไปสิงตัวอยู่ตามร้านกาแฟ นั่งวาดรูป หรือไม่ก็นัดเพื่อนๆ มาเจอกัน แต่ส่วนใหญ่จะวาดรูปมากกว่า เพราะถ้าเพื่อนมาก็จะไม่ได้วาด (หัวเราะ) เบลสามารถวาดรูปได้ทุกที่ ทั้งที่บ้าน ทั้งข้างนอก ไม่จำเป็นต้องเงียบๆ ก็ได้ เวลาวาดรูปมันเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกของเราแหละ ต่อให้เพื่อนคุยเราก็วาดได้ ไม่ต้องบอกเพื่อนว่า เอ้ย! เงียบๆ เราจะวาดรูปนะ แบบนี้ไม่มี เบลวาดได้หมดเลย อย่างเวลานั่งวาดอยู่บ้าน แมวนี่เดินบนโต๊ะเลย เราก็วาดไป
และแมวตัวนี้ที่เบลพูดถึง เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เบลหยิบเอาคาแรกเตอร์ของมันมาวาดเป็นตัวการ์ตูน
พูดถึงเจ้าแมวตัวนี้ เบลได้มันมาเมื่อปีที่แล้ว เราไปเจอเค้าบนถนน มันกำลังจะถูกรถชน เราก็ไปช่วยอุ้มเค้าขึ้นมา มันเด็กมาก ตอนนั้นขนยังไม่ขึ้นเลยครับ ตอนนั้นเราไม่ใช่เป็นคนชอบแมว เราก็อุ้มไปให้บ้านนู้นบ้านนี้ในละแวกนั้น แต่ไม่มีใครเอาเลยครับ พอดีแมวตัวนี้เป็นสีดำ เป็นสีที่เบลชอบพอดี คือถ้าไม่มีใครเอาแล้ว ก็อยู่บ้านเราไปแหละ ที่บ้านเบลมีหมาอยู่สองตัว แต่โชคดีที่พวกเค้าเข้ากันได้ เค้าเห็นแมวมาตั้งแต่เล็กๆ เบลว่า หมามันคงไม่รู้ว่านี่คืออะไร เค้าก็อยู่ด้วยกันได้ กลายเป็นว่า แมวนิสัยเหมือนหมา นิสัยไม่เหมือนแมวเลย ไม่ข่วน ไม่ดุ มานั่งรอเวลากลับบ้าน ขึ้นห้องก็ขึ้นพร้อมกัน เบลไม่เคยเลี้ยงแมว เบลเพิ่งรู้ว่า เค้าขับถ่ายของเค้าเอง เราแค่ซื้อทรายมา เค้าขับถ่าย เค้าโกย เค้าเก็บของเค้าเอง ไม่เหมือนหมาที่เราต้องพาเค้าออกไปขับถ่ายข้างนอก แมวคือรู้หน้าที่ของเค้า เบลไม่ต้องสอนเลยอ่ะ เซอร์ไพร้ส์มาก ตอนนี้ก็เลยกลายเป็นรักแมวไปแล้วครับ เบลเลยเอาเค้ามาใส่ไว้สติกเกอร์ด้วยเลย ตั้งชื่อว่า ลูน่า ที่แปลว่าพระจันทร์ เพราะมันตัวสีดำ แต่ตาสีเหลืองวาวๆ เหมือนพระจันทร์
ไลฟ์สไตล์ของนักวาดภาพประกอบ นอกจากจะใช้เวลาหมดไปกับการวาดรูปแล้ว เบลยังมีอีกหลายๆ สิ่งที่ชอบทำ และบางสิ่งเราอาจคาดไม่ถึงเลยว่า ผู้ชายที่มีนิสัยคิดอะไรก็ง่ายๆ สบายๆ ไม่ซับซ้อน ทำอะไรก็ดูชิลๆ คนนี้จะชอบทำสิ่งนี้ด้วย
เบลเป็นคนนอนดึก เบลชอบนั่งวาดรูปตอนกลางคืน หรือไม่ก็นั่งดูหนัง นอนดึกจนเป็นนิสัยแล้ว เบลตื่นสายไม่มาก ประมาณแปดโมง แต่ไปทำงานทันนะ (หัวเราะ) ออฟฟิศเข้าสิบโมงครับ สบายๆ แล้วตอนนี้เบลกำลังอินกับการเต้น บีบอย เบลชอบออกกำลังกาย แต่ไม่ชอบไปยิมที่เจอคนเยอะๆ เบลศึกษาการเต้นบีบอยจากยูทูป หรือไม่ก็ให้เพื่อนที่เต้นเป็นมาสอนให้ การเต้น บีบอย มีข้อดีที่ว่า มันได้ทั้งการออกกำลังกาย แล้วก็ได้ฝึก skill ใหม่ๆ ให้ตัวเองด้วย บีบอย สามารถเต้นได้ทุกที่ ขอแค่มีที่ว่างๆ เวลาเบลฝึกก็เริ่มจากที่บ้าน เบลเป็นคนไม่ชอบการออกกำลังกายแบบจำเจอย่างยกเวท ถ้าวิ่งก็ยังพอได้ เพราะไม่ได้เล่นอยู่กับที่ อีกอย่างเข้ายิมเหมือนไม่ค่อยอิสระเลยครับ เวลาจะเล่นก็ต้องรอต่อคิว ก็เลยคิดว่าไปเล่นอะไรที่อิสระ สบายๆ อย่าง บีบอย ดีกว่า มีพื้นที่กว้างๆ มีเพื่อนเยอะดี สนุกด้วย มีความท้าทายด้วย ก็น่าจะดีกว่า
แต่เรื่องนี้ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนเท่าไหร่ เพราะว่ามันอันตราย เบลลองเล่นแล้ว ก็คิดว่า มันค่อนข้างจะหวือหวาอยู่เหมือนกัน ตอนเด็กๆ สมัยมัธยมฯ เคยลองเล่น แต่ก็ไม่ได้เล่นต่อ พอจะกลับมาเล่น เราก็รู้สึกว่า ร่างกายของเราไม่ได้ยืดหยุ่นเหมือนแต่ก่อนแล้ว เราต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่หมด
เห็นเบลพูดถึงว่าชอบดูหนังตอนดึกๆ แล้วหนังสไตล์ไหนที่เบลจะเสียเงินไปดูในโรงหนัง
เบลชอบดูหนังผี หนังสยองขวัญ เบลชอบดูหมดเลย แต่หนังรัก หนังไซไฟ หรือหนังแฟนตาซี เบลไม่ค่อยดู เบลดูหนังผีเยอะมาก อย่าง The Conjuring 2 ก็ไปดูมาแล้ว สนุกดี ล่าสุดเบลไปดู Lights Out ชอบมาก ผีอันธพาลมาก จังหวะผีมา ต้องมาแบบนี้แหละ ตู้ม ตู้ม ตู้ม เลย ผีออกมาเยอะมาก สะใจ เค้าใช้ทริคเล็กๆ แค่เปิดไฟ ปิดไฟ แต่ก็ทำให้เรากลัวได้ เวลาที่เบลดูหนัง เบลจะดูเทคนิคว่าเค้าถ่ายแบบไหนให้คนตกใจได้
ส่วนตัวเบลชอบ Paranormal Activity ครับ เรื่องนี้มีทั้งหมด 5 ภาค มันเป็นหนังกล้องเหมือน The Blair Witch Project ครับ เบลชอบหนังกล้องมาก มันดูจริงดี แล้วยิ่งภาคแรกของ Paranormal Activity ใช้งบน้อยมาก ผู้กำกับถ่ายในบ้านของเค้าเอง แล้วเอาเพื่อนมาเล่น มีกล้องที่ห้องนอน ห้องครัว ห้องนั่งเล่น แล้วทุกตีสามจะเกิดสิ่งประหลาดแล้วกล้องก็จะจับความผิดปกตินั้นได้ พอเข้าฉาย คนชอบเยอะมาก ภาคแรกจะหลอกเราว่าเป็นหนังผี แต่พอภาคสองเริ่มมาเป็นหนังเกี่ยวกับแม่มด เป็นวัฒนธรรมของแม่มด ปีศาจ และศาสนา ภาคสุดท้ายกลายเป็นหนังแฟนตาซี เป็น 3D ด้วย เพราะตอนนั้นเทรนด์ 3D กำลังมา แต่มันไม่เรียล มันขาดเสน่ห์ความน่ากลัวของมันไป ดูเหมือนตั้งใจไปหน่อย งงมาก แต่ก็โอเคแหละ เพราะเราชอบเรื่องนี้มาก เป็นแฟนหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ เรื่องนี้มันจะมีให้เราดูปีละครั้ง ทุกเดือนตุลาคมของทุกปี หนังเรื่องนี้ไอเดียดีมากเลย เค้าทำหนังภาค หนึ่ง สอง สาม ให้เราดู แต่จริงๆ แล้ว เราต้องดู สาม สอง หนึ่ง เพราะตอนจบของภาคแรกจะไปลิ้งค์กับภาคสุดท้าย มันบ้ามาก ดูจบ เราถึงเข้าใจว่า ทำไมภาคแรกมันถึงจบอย่างนี้
ชอบดูหนังผี แล้วกลัวผีมั้ย
คือเบลชอบดูหนังนะ ถ้าในหนังเห็นเลือด หัวขาด ปาดคออะไรอย่างนี้จะไม่กลัวเลยนะ แต่เป็นภาพข่าวที่ไม่ได้เซ็นเซอร์อะไรอย่างนี้ โอ๊ย! ไม่ไหว จะรู้สึกว่า ไม่ชอบ จะรู้สึกว่ามันเป็นของจริง ตัวเบลเองไม่เคยเจอผีนะ แต่ให้เจอจริงๆ ไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ)
นอกจากเราจะรู้ว่าเบลเป็นคนชอบวาดรูป ฟังเพลงแจ๊ส ชอบเต้นบีบอย และชอบดูหนังผีแล้ว ตัวตนของเบลอีกมุมที่น้อยคนนักจะได้เห็นคือ ชอบทำความสะอาดบ้าน
เบลเหมือนคนโรคจิต ถ้าเห็นบ้านสกปรกหรือเห็นรอยอะไรเปื้อนนิดหน่อย เบลจะเอาผ้ามาเช็ดทันที เบลชอบทำความสะอาดบ้านมาก ทำอยู่คนเดียว พอทุกคนเห็นว่าเราทำ ก็อ่ะ อยากทำ ทำไปเลย (หัวเราะ) อย่างบ้านเบลจะเป็นกำแพงสีขาว เห็นจุดอะไรดำๆ ก็จะผ้ามาเช็ดๆ ให้สะอาด ตรงนี้ต้องเก็บ ตรงนี้กวาด หมอนวางไม่ดี ก็จะจับวางใหม่ ตื่นเช้ามาก็จะเก็บที่นอนเหมือนไม่มีใครเคยนอนมาก่อน ปูผ้าดึงตึงมาก (หัวเราะ)
เรื่องทำความสะอาดบ้าน มันเป็นความประทับใจตั้งแต่เด็ก ตอนเบลกลับจากโรงเรียน เห็นแม่ทำความสะอาดบ้าน เอ๊ะ! ทำไมวันนี้ห้องน้ำสะอาดจัง เมื่อวานยังเขรอะอยู่เลย อยากเห็นแบบเนี๊ยะ พอโตมาจะให้แม่มาทำก็ไม่ใช่แล้ว เราเป็นพี่ชายคนโต มันจึงเป็นเราที่ต้องทำ อันนี้เป็นอีกมุมที่คนอื่นไม่ค่อยเห็น อยู่บ้านก็จะเนี้ยบ ขัดกับลุคมาก (หัวเราะร่า)
เล่าเรื่องพี่ชายคนโตของบ้านให้เราฟังหน่อย
เบลเป็นพี่ชายคนโต มีน้องอีกสองคน เบลห่างกับน้องคนเล็ก 10 ปี เบลโตสุดในบ้าน เราต้องรับผิดชอบทุกอย่างในบ้าน หลักๆ ก็ช่วยพ่อในเรื่องรายจ่าย ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร เบลก็เป็นคนจัดการให้ มีมากก็ให้มาก มีน้อยก็ให้น้อยครับ
ส่วนน้องๆ ค่อนข้างเก่งกันอยู่แล้ว เบลเห็นน้องๆ ทำอะไรเองได้ มีห่วงก็เรื่องกินข้าว น้องๆ กินข้าวไม่ค่อยตรงเวลา เบลเป็นคนที่อยู่บ้านเยอะสุด คนที่เหลือก็ออกไปข้างนอกไปนู่นไปนี่กัน เบลจะเห็นทุกคนว่าไปไหน กลับกี่โมง บางทีกลับมา เบลก็จะถามว่า กินอะไรมารึยัง ด้วยความที่ครอบครัวเบลอยู่ด้วยกันหมด ที่บ้านจะมีโต๊ะกลาง บางทีเบลนั่งวาดรูป คนนึงก็นั่งกินข้าว อีกคนหนึ่งก็นั่งเล่นกับหมา อยู่บนโต๊ะเดียวกันหมด บางทีเบลเปิดแจ๊ส ทุกคนก็ต้องฟังแจ๊ส จะไม่มีใครเปิดทีวี ทุกคนโอเค ไม่มีใครว่าอะไร เค้าคงชินแล้วแหละ
พูดถึงเพลงแจ๊ส เบลชอบฟังเพลงแจ๊สของใครบ้าง
เบลชอบฟังเพลงของ แฟรงค์ ซิเนตรา, นอราห์ โจนส์ หรือเพลงคัฟเวอร์ก็ฟังได้หมด แต่จริงๆ ชอบฟังของ แฟรงค์ มากที่สุด เบลเริ่มฟังเพลงแจ๊สครั้งแรก ตอนที่เบลไปร้าน Casa Lapin สาขาสุขุมวิท 49 ตอนนั้นเพิ่งเปิดใหม่ๆ ได้ยินเพลงที่เค้าเปิด นึกอยู่ในใจว่า ร้านนี้เปิดเพลงเพราะจังเลย ก็ชอบ แล้วมันมีโฆษณาว่าเป็นของ Jazz Radio มันมีแอพนี้ด้วย ก็โหลดมาฟังเลย จากนั้นก็ฟังมาตลอด เบลฟังเพลงแจ๊สเยอะมาก เพลงมันก็มีอิทธิพลกับเบลเหมือนกันนะ บางเพลงฟังแล้วก็ชอบ ก็ไปหาความหมายแล้วตีเป็นภาพออกมา จนกลายเป็นธีมในการจัดแกลเลอรีครั้งแรกของเบล
นอกจากวาดรูป ทำกราฟฟิก เต้นบีบอย แล้ว ในอนาคต เบลอยากทำอะไรอีก
อยากเปิดสตูดิโอเป็นของตัวเองเหมือนกันครับ แล้วอยากที่บอก เบลอยากมีคาเฟ่เป็นของตัวเอง เบลมีคาแรกเตอร์ของเบลอยู่แล้ว จริงๆ เป็นคนชอบร้านสไตล์ญี่ปุ่น เรียบๆ ไม้สีสว่าง ร้านสีขาวๆ คลีนๆ ตอนนี้ที่บ้านมีแพลนจะทำนู่นทำนี่ใหม่ แล้วข้างบ้านมีพื้นที่ว่างเป็นห้องลึกๆ อยู่ อยากทำแล้วให้พ่อแม่ดูแล เพราะแม่ทำอาหารอร่อย เผื่อเค้าจะทำอะไรได้ แต่เป็นเรื่องอนาคตนะครับ ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้
แล้วเร็วๆ นี้ เราจะได้เห็นผลงานอะไรของ Painterbell อีกบ้าง
ในช่วงเดือนกันยายนนี้ เบลจะมีงาน co กันกับ Armani Jeans เป็นงานใหญ่ที่เบลยังไม่เคยทำ งานมีวันเสาร์อาทิตย์ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ ในงานเบลจะเพ้นท์กระเป๋ายีนส์ให้ผู้ที่มาร่วมงาน ช่วงนี้ก็เตรียมงานอยู่ กำลังร่างแบบให้เค้าดู ส่วนคาแรกเตอร์ยังคงเป็น John กับ Lulu นี่แหละ แต่ใส่เสื้อผ้าของอาร์มานี่ คือดูต่างจากปกติขึ้นมาหน่อยครับ
อีก 5 ปีข้างหน้าของ John จะเป็นอย่างไร จะโตขึ้นมั้ย
เออ! นั่นสิ จะโตมั้ย (หัวเราะ) ก็อาจจะโตแหละ ที่จริงเบล keep ให้ john กับ lulu เป็นเพื่อนกัน อายุประมาณ 5-6 ขวบ ไม่ได้คิดว่ารวมตัวกันทำอะไร คิดแค่ว่า อยากมีตัวละคร 5 ตัว มีใครบ้าง แค่นั้นเอง
เบลว่าอีก 5 ปีข้างหน้า เค้าน่าจะยังเป็นสไตล์เดิมนี่แหละ เบลมีไอเดียอยู่ว่า อาจทำ part ให้พวกเค้าเป็นคาแรกเตอร์ที่โตขึ้น เป็นซีรีส์ อาจมีแอ๊คชั่นที่ใส่ชุดทำงาน ใส่ชุดนักศึกษา แต่โครงหน้าคงไม่เปลี่ยนอะไรมากไปกว่านี้แล้วล่ะ จริงๆ วาดให้เป็นเด็กแบบนี้ คนชอบนะ แต่พอเค้าโต คนจะยังชอบอยู่รึเปล่า ก็คงต้องติดตามดูครับ
จากการได้นั่งพูดคุยกับ เบล เศรษฐพร มาจนถึงตอนนี้ เราไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมเขาถึงดูเด็กกว่าวัย ไม่ใช่แค่เขาชอบวาดการ์ตูนหรอกครับ ที่ทำให้เค้าติดความเป็นเด็ก แต่เป็นเพราะความช่างพูดช่างคุยและเสียงหัวเราะที่สอดแทรกตลอดการสนทนาในวันนี้ต่างหาก สิ่งเหล่านี้ได้สะท้อนให้เราเห็นถึง ทัศนคติและวิธีการมองโลกที่ช่วยให้เขายังคงความน่ารัก ความจริงใจ และความใสซื่อแบบเด็กๆ อีกทั้งยังทำให้คนรอบข้างพลอยมีความสุขและมีรอยยิ้มเวลาที่อยู่ใกล้เขาด้วย
เรื่องโดย ธนกฤต ชัยสุวรรณถาวร
ถ่ายภาพโดย Wara Suttiwan
ขอบคุณสถานที่ Let’s sweet ( Cafe & Pancake House ) ปากซอยพระเจน ถนนวิทยุ