ART & EAT ดื่มด่ำกับมื้อพิเศษชมวิวงานศิลป์ที่ MIO ร้านอาหาร สุดชิคใจกลางทองหล่อ
บรรยากาศดีเห็นวิวเมืองหรือแม่น้ำ อาจจะเป็น ร้านอาหาร ที่หลายๆ คนโปรดปราน แต่ในอีกมุมการได้มองดูงานศิลปะที่รายล้อมอยู่ท่ามกลางอาหารรสชาติเลิศ นั้นก็เป็นอีกหนึ่งความปรารถนาของใครหลายๆ คน
วันนี้เราจึงอยากชวนมาสัมผัสการรับประทานอาหารมื้อพิเศษที่ได้กลิ่นอายของงานศิลป์พร้อมรสชาติของอาหารที่ปรุงจากเชฟฝีมือเยี่ยมที่ร้าน MIO FOOD & ART ร้านอาหารอิตาเลียนต้นตำหรับให้คุณเสพศิลป์พร้อมกินดื่มอย่างมีสไตล์
เปิดมิติใหม่ของการของการยกระดับอุตสาหกรรมรีเทลเฟอร์นิเจอร์สุดพรีเมียมในกรุงเทพฯ ไปกับร้านอาหารสุดชิคใจกลางทองหล่อ ‘Mio Food & Art’ ร้านอาหารอิตาเลียนที่มีคอนเซ็ปต์เฉพาะตัว ในการผสมผสานไลฟ์สไตล์ของศิลปะการตกแต่งร้านสุดเก๋กับ ลูกเล่นการตกแต่งร้านด้วยเฟอร์นิเจอร์และงานศิลปะ ที่ชวนให้สนุกสนาน พร้อมชูจุดเด่นด้วยอาหารรสเลิศสไตล์อิตาเลียนดั้งเดิม ให้คุณเดินชมและเลือกสรรระหว่างรออาหารหรือหลังจากทางอิ่มแล้วก็ยังสามารถเดินย่อยอีกสักหน่อย ใช้เวลาอีกสักนิดผ่อนคลายไปกับเฟอร์นิเจอร์สุดพรีเมี่ยมที่ส่งตรงมาจากอิตาลี
Mio Food & Art เป็นอีกหนึ่งร้านอาหารที่ยืนยันว่า “โลกของอาหารและศิลปะของการตกแต่ง สามารถอยู่รวมกันได้อย่างลงตัว” นับเป็นการนำเสนอร้านอาหารที่ผสมผสานกับรีเทลเฟอร์นิเจอร์ ที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติมสีสันของไลฟ์สไตล์ ให้กับลูกค้าสายอาร์ตที่ชอบ “ช็อป” และ “แชร์” ด้วยพื้นที่โชว์รูมสองชั้นกับ ที่นั่งรับรองมากกว่า 50 ที่ และ ที่นั่งกลางแจ้งอีก 16 ที่ ทางร้านยังพร้อมให้บริการด้วยความเป็นกันเอง ชวนให้น่าประทับใจไปไม่รู้ลืม ตื่นตาตื่นใจไปกับอาหารอิตาเลียนดั้งเดิม อย่าง ‘เมนูโคลด์คัท ลา โมลา โรมักโนลา พร้อมเครื่องปรุง’ และ ‘เมนูบูราต้านำเข้า’
โดยร้าน Mio Food & Art ก่อตั้งขึ้นช่วงปลายปี 2018 โดย มร. อันโตนิโอ มาร์เชลลี ชาวอิตาเลียน ที่ย้ายถิ่นฐานมาพำนักในประเทศไทยตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 ซึ่งตัวอันโตนิโอเอง ก็ได้เปรียบประเทศไทยว่าเป็นเหมือนบ้านของเขาอีกหลังหนึ่ง
มร. อันโตนิโอ แฟคชิเนติ หัวหน้าเชฟของร้าน Mio Food & Art ได้ตั้งใจนำเสนอประสบการณ์ทางด้านการปรุงอาหาร ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานจากหลากหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชฟได้มีความผูกพันกับประเทศในแถบเอเชียเป็นพิเศษ ด้วยผลงานการรับรางวัลแห่งความสำเร็จในระดับสากล จากหลากหลายห้องอาหารและโรงแรมระดับห้าดาวที่เชฟอันโตนิโอเคยผ่านงานมา นี้เป็นอีกจุดสำคัญที่หล่อหลอมความใส่ใจในทุกรายละเอียดของการปรุงอาหาร และทัศนคติรวมถึงความสัมพันธ์อันดีกับกลุ่มลูกค้า ที่วันนี้พร้อมสร้างความประทับใจกับบทใหม่ในฐานะหัวหน้าเชฟของร้าน Mio Food & Art
พร้อมกับแนะนำเมนูที่เป็นซิกเนเจอร์ให้เราได้ทานอย่าง
เมนูแรกกระตุ้นความอยากอาหาร Paccheri Squid Ink,Garlic,Chill,Roasted Octopus
ปลาหมึกยักษ์กับเส้น Paccheri ที่ให้สัมผัสของ First impression ต่างออกใหม่ เส้นพาสต้าแบบเนเปิลสไตล์ จัดวางเรียงอยู่ในจาน หั่นกระเดียมชิ้นใหญ่พอดีคำและพริกเพื่อเคียงรสชาติกันและกันให้ออกมากลมกล่อม รวมถึงการจับคู่สีที่ทำให้จานนี้ดูน่าสัมผัสยิ่งนักตั้งแต่แรกเห็น
เมนูที่สองพร้อมเสิร์ฟกับสิ่งที่ขึ้นชื่อของร้าน เมนูโคลด์คัทสูตรออร์แกนิค
โคลด์คัทต่างๆ ถูกเรียงรายมาในถาด มีทั้ง Mortadella, Salame Mora in Filzetta และ Prosciutto Crudo la Mora ความเหนียมนุ่มกำลังดีของชิ้นเนื้อทั้งสามประเภท ผนวกกับการหั่นบางที่ทำให้รสชาติอร่อยพอดีคำ
เมนูที่สามอันนี้เราว่าคนรักชีสต้องเลิฟ เพราะให้สัมผัสที่นุ่มละมุนลิ้น กับเมนูที่ชื่อว่า Imported Burrata,Vine Tomatoes,Culatello
ความลงตัวผสมผสานกันของชีสหลายชนิด โรยด้วยมะเขือเทศรอบๆ ให้อารมณ์ตัดความครีมมี่ได้ความบาลานซ์ที่พอดีคำ
เมนูที่สี่สำหรับเนื้อเลิฟเวอร์ต้องลอง
เป็นเนื้อพิเศษที่สามารถทานได้ที่ร้านนี้โดยเฉพาะ แต่ไม่ใช่สัมผัสอย่างที่คุ้นเคย Costata (Prime Rib 500 กรัม) แน่นอนว่ายังเป็นเนื้อที่มีความนุ่มกำลังดี อาจไม่ละลายในปากแต่ได้รสชาติแบบ Rare Items
ตบท้ายมื้ออาหารสุดคลาสสิคด้วยของหวาน อย่าง ทีรามิสุ อันเป็นที่ชื่นชอบของแฟนพันธุ์แท้อาหารอิตาเลียน ถูกเสิร์ฟในกระถางต้นไม้ ดูน่ารักออกแบบมาเพื่อสร้างรอยยิ้มก่อนกลับให้กับคุณ
นอกจากนี้อีกหนึ่งความพิเศษของร้าน Mio Food & Art คือการนำเสนอวัตถุดิบที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่น โดยทางร้านได้จับมือกับฟาร์มปศุสัตว์ในภาคอีสานของประเทศไทย ซึ่งเป็นฟาร์มเป็นผู้บุกเบิกการผสมเทียม และ สร้างสายพันธุ์พิเศษสำหรับเนื้อ ‘แบล็คแองกัส’ และ ‘ชาร์โรเล่สบีฟสเตียร’ ที่ผ่านกรรมวิธีการผสมเทียมลูกโคด้วยคุณภาพสูง ที่เติบโตอย่างอิสระท่ามกลางธรรมชาติ โดยฟาร์มแห่งนี้จะทำการคัดเลือกลูกโคที่ดีโดยสัตว์แพทย์เฉพาะทางผู้ความเชี่ยวชาญ จากนั้นจะนำลูกโคไปเลี้ยงในบริเวณเฉพาะด้วยอาหารธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหาร อาทิ มันสำปะหลัง ผลไม้ และ กากน้ำอ้อย เป็นเวลาอย่างน้อย 15 เดือน ทั้งนี้เมื่อถึงเวลาที่ลูกโคจะถูกนำไปบริโภค จะถูกทำการแขวนไว้กับราวเป็นเวลาประมาณ 20 วัน ตามแบบฉบับอิตาลีต้นตำรับ ทั้งนี้การเก็บรักษาของเนื้อลูกโคดังกล่าวจะต้องควบคุมอุณหภูมิความชื้นอย่างต่อเนื่อง กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้เนื้อแบล็คแองกัสจากภาคอีสานของ Mio Food & Art มีเทคเจอร์ที่นุ่มและฉ่ำเป็นพิเศษ
นอกเหนือจาก Mio Food & Art จะเป็นร้านอาหารแล้ว ยังถือเป็นพื้นที่เปิดสำหรับผู้ที่สนใจสะสมงานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ที่เปี่ยมด้วยดีไซน์ มีให้เลือกทั้งเก้าอี้ โต๊ะ และ โคมไฟ ที่ล้วนถูกออกแบบอย่างโก้เก๋ ง่ายต่อการเลือกซื้อ ทางร้าน Mio Food & Art ของเรายังยินดีต้อนรับลูกค้าที่มีความชื่นชอบที่แตกต่าง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักชิมอาหาร ผู้ที่หลงใหลในงานศิลปะ แม้กระทั้งชาวโซเชียลที่นิยมการ ‘ช็อป’ ‘ชิม’ และ ‘แชร์‘ สถานที่ใหม่ๆบนโลกออนไลน์ ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาเยี่ยมเยือนร้านของเรา” กล่าวโดย มร. อันโตนิโอ มาร์เชลลี
เมนูของร้าน Mio Food & Art พร้อมให้บริการในเดือน มีนาคม 2562 เป็นต้นไปทั้งมื้อกลางวัน และ มื้อเย็น โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และสำรองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่ 02-258-5516 เนื่องจากที่นั่งมีจำนวนจำกัด