แฟชั่นคือโลกแห่งความเพ้อฝันและกระจกสะท้อนรสนิยมความต้องการของมนุษย์ เป็นอุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายที่นำเสนอสินค้าด้วยความเย้ายวนใจจนคุณไม่สามารถปฏิเสธได้ ผ่านภาพลักษณ์ที่ดูหรูหราปรากฎผ่านโฆษณาและการเล่าสู่ปากต่อปาก การขายเสื้อผ้าอาจแตกต่างจากสินค้าประเภทอื่นตรงที่ต้องเล่นกับอารมณ์ความรู้สึกของผู้บริโภค กระตุ้นให้เกิดความอยาก มากกว่าคำว่าจำเป็นในชีวิตประจำวัน แต่ท้ายที่สุดแล้วนอกจากคุณจะตกหลุมพลางเป็นเหยื่อการตลาด บางทีสิ่งที่เคยมองหามาตลอดอย่าง สถานที่ผลิตหรือการผลิตอันประณีตอาจไม่มีอยู่จริง
หลายคนก่อนซื้อเสื้อผ้า รองเท้าหรือเครื่องประดับ มักจะสังเกตป้าย Tag ที่ข้างหลังว่าผลิตจากที่ไหนอาจจะปั๊ม Made in Switzerland บนนาฬิกาของคุณ Made in Italy บนรองเท้า หรือแม้แต่ Made in Britain ในชุดสูทของคุณเพื่อรู้ว่าเสื้อผ้าของคุณผลิตจากที่ไหน จริงๆ แล้วมันอาจไม่ได้ตรงตามที่เราคิดไปเสียหมด อย่างในสหภาพยุโรป ประเทศต้นกำเนิดของ Tag โดยทั่วไปหมายถึงว่า“ กระบวนการผลิตในขั้นสุดท้าย” ได้ถูกผลิตขึ้นในประเทศบน Tagในกรณีของหลุยส์วิตตองหมายถึงชาวอิตาเลียนเย็บรองเท้าลงบนรองเท้าที่ผลิตในโรมาเนีย เช่นเดียวกับ บริษัท รองเท้าผ้าใบของอังกฤษที่มีส่วนบนของรองเท้าที่ทำในจีนแล้วเย็บรองเท้าในโรงงานของสหราชอาณาจักร ซึ่งต้องบอกความจริงว่า สุดท้ายการผลิตเครื่องหนังชั้นดีต่างๆ ถูกผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนา และส่งกลับมายังประเทศเจ้าของแบรนด์เพื่อตีตราอีกครั้ง เพราะคงไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่าการผลิตเครื่องหนังที่หรูหรามากมาย แต่มาจากแหล่งประเทศโลกที่สาม
จนถึงปีพ. ศ. 2560 แม้แต่ made in Switz ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเลิศในการผลิตนาฬิกาก็สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างง่ายดาย ตราบใดที่การเคลื่อนไหวเป็นแบบสวิสทุกอย่างในนาฬิกาสามารถสร้างนอกประเทศได้จากชิ้นส่วนที่ไม่ใช่ของสวิส คุณแค่ต้องการคนที่สวิสให้การตรวจสอบคุณภาพขั้นสุดท้าย วันนี้กฎเข้มงวดขึ้นเล็กน้อย เพราะร้อยละ 60 ของส่วนประกอบจะต้องใช้ทำในสวิตเซอร์แลนด์ – แต่ยังมีบางชิ้นส่วนที่ประกอบในอินเดียวเพื่อนำมาผสานกันเป็นเรือนเวลาที่ค่อนข้างมีราคาสูง
ในประเทศที่มีค่าแรงต่ำเช่นบังคลาเทศ เวียดนาม และกัมพูชา กลายเป็นโรงงานที่ใช้ผลิตสินค้าให้กับแบรนด์เนมต่างๆ โดยทั่วไปโรงงานแห่งแรกที่ถูกเปิดขึ้นในประเทศนั้นๆ จะได้รับการตรวจสอบจากแบรนด์แฟชั่นเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานการผลิตหรือไม่ แต่โรงงานแห่งที่สองจะยิ่งพยายามใช้ต้นทุนต่ำลงในการผลิตและจ้างแรงงาน เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุดในการ Import ของกลับไปวางจำหน่ายอีกครั้ง
แม้ว่าจะผลิตผลิตภัณฑ์ทั้งหมดในประเทศต้นทางที่อ้างสิทธิ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแบรนด์เหล่านั้นมีคุณภาพสูงกว่าผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในทวีปตะวันออก ไฟแนนเชียลไทมส์พบว่าในโรงงานบางแห่งในเลสเตอร์ในสหราชอาณาจักรคนงานได้รับค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำในการทำเสื้อผ้าให้กับแบรนด์บางแบรนด์เสียอีก
จากการสำรวจของ New Yorker พบว่าแบรนด์ดีไซเนอร์จำนวนมากใช้โรงงานแบบจีนและมีพนักงานชาวจีนเป็นผู้ผลิต แม้แต่ Made in Italy มีลูกจ้างทำงานราคา 1 ปอนด์ต่อวันเท่านั้น จึงเป็นคำตอบที่ว่ามีแต่แบรนด์เท่านั้นที่มีแต่จะได้กับได้ ส่วนคนที่เป็นลูกจ้างก็ไม่ได้รับการยกระดับตามอย่างที่ควรจะเป็น
มาในยุคหลังๆ บางแบรนด์ที่เคยใช้ความไว้วางใจในชื่อเสียงซื้อใจคน แต่กลับลดคุณภาพการผลิตลงเพื่อให้ได้ผลกำไรมากขึ้น และราคาก็สูงไปตามยุคสมัย 20 ท็อปแบรนด์ดังในตอนนี้ ถือส่วนแบ่งครองตลาดแฟชั่นกว่า 97% เสมือนกำตลาดเอาไว้ในมือเพื่อให้เดินต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกลยุทธ์ในการทำแคมเปญสู่ตลาดผู้บริโภค การเปิดรันเวย์ทุกๆ ซีซั่น หรือใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการผลักดันสินค้า ซึ่งเข้าถึงกลุ่มคนซื้อได้ง่ายและมีอิทธิพลมากกว่าเดิม จนลืมใส่ใจเรื่องคุณภาพในการผลิตไปถนัดตา
ในขณะที่โลกตื่นตัวว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นจะทำลายระบบสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ทำให้หลายแบรนด์ยักษ์ใหญ่ต่างก็ทำงานหนักขึ้นเพื่อเปลี่ยนโฉมการผลิตและเลือกวัสดุใหม่อย่างมีจริยธรรมและมีจิตสำนึกที่ยั่งยืน แต่การเคลื่อนไหวที่ดึงดูดความสนใจเหล่านี้มักจถูกะปกปิดด้วยความเคลือบแฝง จริงอยู่ที่แบรนด์ผลิตคอลเลกชั่นที่ใส่ใจโลก ทำมาจากพลาสติกมหาสมุทรแบบรีไซเคิล แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดถึงว่ายังคงใช้น้ำหลายล้านแกลลอนในการสร้างเสื้อผ้าจากผ้าฝ้ายราคาถูก และพยายามสนับสนุนให้ลูกค้าส่งคืนเสื้อผ้าเก่าของพวกเขาไปยังร้านค้าเพื่อนำไปรีไซเคิลจากนั้นให้บัตรกำนัลแก่พวกเขาซึ่งสนับสนุนให้ลูกค้าซื้อเสื้อผ้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
แบรนด์แฟชั่นบางยี่ห้อไม่ได้อาจเป็นแบรนด์เสื้อผ้า กล่าวคือมีเสื้อผ้าเป็นส่วนประกอบของแบรนด์เพียงแค่ 10% เท่านั้นด้วยเหตุผลในการเข้าแย่งครองถือพื้นที่ทางการตลาดของอุตสาหกรรมแฟชั่น
จากงานวิจัยพบว่าคอลเล็กชั่นเสื้อผ้า Ready to wear นั้นเป็นค่าใช้จ่ายทางการตลาด ที่ทำให้แบรนด์สูญเสียเงินกับเสื้อผ้ามาก จึงต้องหันกลับมาทำสินค้าอื่นเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย อาทิเช่น Prada และ Hermes มีเสื้อผ้าขายเพียงประมาณร้อยละ 10 ของยอดขายทั้งหมด สิ่งนี้ทำให้ผู้ที่ซื้อเสื้อผ้าเป็นส่วนเสริมของการตลาดของแบรนด์ โดยเฉพาะในโลกที่มีการออกแบบโลโก้ที่มีผลกระทบสูงในการซื้อของลูกค้า