หลายคนมีสไตล์การแต่งตัวที่ชัดเจนเป็นของตัวเอง ขณะที่หลายคนก็มักเปลี่ยนลุคตามแฟชั่นและเทรนด์ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน การแต่งตัวก็ยังถือเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ จนผู้ชายหลายคนมองว่าเป็นเรื่องยาก วันนี้เราจึง 5 เทคนิคพื้นฐานสำหรับการแต่งตัวตามแฟชั่นสำหรับผู้ชาย จะแต่งอย่างไรให้ดูดี มีความเป๊ะ!
NOTE: กุญแจสำคัญของการแต่งตัวผู้ชายให้ดูดี คือการรักษาหุ่นให้เฟิร์ม เพราะเมื่อใดที่คุณรูปร่างดี จะแต่งตัวอย่างไรก็ดูดีไปหมด
ถ้าคุณไม่ได้ตั้งใจแต่งสไตล์ Oversize (https://favforward.com/lifestyle/40044.html) เทคนิคแรกของการแต่งตัวให้ดูดีคือ “การใส่เสื้อผ้าให้พอดีตัว” เรื่องเล็กๆ แต่เป็นกุญแจสำคัญ เพราะหากคุณใส่เสื้อผ้าที่หลวมไปหรือคับแคบไป แทนที่จะได้ลุคหนุ่มคูลๆ อินเทรนด์แฟชั่น จะกลายเป็นลุคเด็กวัยรุ่นที่เพิ่งหัดแต่งตัวแทน ทั้งนี้การเลือกขนาดเสื้อผ้าให้พอดีตัว มีข้อคำนึงถึง 2 อย่างคือ
• ต้องรู้จักรูปร่างของตัวเอง: คุณต้องรู้จักรูปร่างของตัวเองว่ามีจุดเด่นตรงไหน ข้อด้อยจุดใด แล้วพยายามกลบข้อด้วย ชูจุดเด่น เช่น คุณเป็นผู้ชายต้นขาใหญ่ ไม่แนะนำให้สวมกางเกงยีนส์ขาเดฟ เพราะมันจะทำให้คุณดูตัน เป็นต้น
• เข้าใจสไตล์ของเสื้อผ้าลุคนั้นๆ นั่นคือคุณต้องเข้าใจว่าลุคที่คุณเลือกหยิบมาแต่งนั้น เขานิยมแต่งกันอย่างไร เช่น การสวมสูท ต้องเป็นแบบพอดีตัว ทั้งความกว้างของไหล่ ความยาวของสูท หรือการแต่งสไตล์ Oversize ที่เมื่อสวมเสื้อผ้าสไตล์นี้ไหล่ของเสื้อต้องตกลงมาเล็กน้อย เป็นเสื้อที่ใหญ่กว่าตัวสัก 1-2 เบอร์ และไม่ควรใหญ่เกินกว่านี้ ฯลฯ
เทคนิคที่ 2 สำหรับการแต่งตัวผู้ชายให้ดูดี คือ “เรียบง่ายเข้าไว้” โดยเทคนิคนี้เป็นเคล็ดลับที่นอกจากจะทำให้คุณดูดี มีสไตล์แล้ว ยังช่วยลดวัยลดอายุได้อีกด้วย โดยการแต่งตัวเรียบง่ายนั้น คือความเรียบง่ายของโทนสี เลือกเป็นโทนสีที่เน้นสีพื้นเป็นหลัก แล้วติมแต่งด้วยการไล่เฉดสีในโทนเดียวกัน เพื่อสร้างสีสัน แต่ไม่ควรเป็นสีจัดจ้านหรือ color full จนเกินไป
หรือในทางตรงกันข้าม หากคุณต้องการแต่งตัดสีสันจัดเต็ม ก็ควรเป็นเลือกแต่งเพียง 2 เฉดสีเท่านั้น ไม่ควรเยอะไปกว่านี้ เช่น เสื้อสีเหลืองแบบ oversize จับคู่กับกางเกงสีน้ำเงิน กลายเป็นหนุ่มแรปเปอร์เท่ๆ เป็นต้น การคุมโทนสีให้เรียบง่าย หมายความถึงลวดลายของเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน
การเลือกแบบเสื้อก็เป็นเรื่องสำคัญ หากเป็นเสื้อผ้าสไตล์แฟชั่นอยู่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องกังวลมากมาย แต่หากเป็นลุคที่เรามิกซ์แอนด์แมทช์เอง ก็ควรเลือกสไตล์ที่เรียบง่ายมาจับคู่กัน หรือจะจับคู่เสื้อสไตล์เท่ๆ คู่กับกางเกงเรียบๆ ก็เป็นเทคนิคง่ายๆ ที่ช่วยให้การแต่งตัวของคุณดูเป๊ะขึ้น
หลังจากที่นำเสนอให้แต่งเรียบง่ายเข้าไว้ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าต้องแต่งตัวจืด เทคนิคนี้จึงเป็นการเพิ่มจุดเด่นให้การแต่งตัวผู้ชาย นั่นคือการมองหา Key Item สักชิ้น แต่แนะนำว่าควรเป็น Key Item ที่แฝงความคลาสสิก การมองหา Key Item คือการกำหนดเสื้อผ้าหรือ Accessory อย่างกระเป๋าและรองเท้าเป็นตัวหลักในการแต่งตัวลุคนั้น แล้วค่อยหยิบของชิ้นอื่นมาเสริม
เช่น แจ็คเก็ต จะเป็นคีย์หลักในการแต่งตัววันนี้ ส่วนของชิ้นอื่นๆ ที่เสริมเข้ามาอาจเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสีเข้ม หรือคุณกำหนดให้สนีกเกอร์คู่ใหม่เป็นคีย์หลักของชุด แล้วเสริมด้วยเสื้อผ้าที่เรียบง่ายกว่า มีความซอฟท์กว่า ฯลฯ โดยหลักการแมทช์ Key Item กับลุคการแต่งตัว มีหลักง่ายๆ ว่าเน้นคุมโทนสีเดียวกับเสื้อผ้า ซึ่งจะช่วยให้การแต่งตัวของคุณดูง่ายขึ้น
ไม่ว่าจะแต่งตัวลุคไหน แต่เรื่องรองเท้าคือเรื่องสำคัญอีกอย่างของการแต่งตัวผู้ชาย หลายคนมีรองเท้าหลายคู่หลากสไตล์ ทั้งสนีกเกอร์หลายทรง รองเท้า Oxford สำหรับงานทางการ หรือ Loafers สำหรับวันสบายๆ ฯลฯ หากคุณเป็นหนึ่งคนที่มีรองเท้าหลายคู่ การแต่งตัวก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากคุณเป็นผู้ชายที่ไม่นิยมซื้อรองเท้าหลายคู่ แนะนำให้ซื้อรองท้าคลาสสิกที่เข้ากับทุกลุค แบบคู่เดียวเอาอยู่
รองเท้ารุ่นคลาสสิกที่แนะนำให้มีติดบ้านไว้ อาทิ รองเท้าหุ้มข้อเท่ๆ รุ่นคลาสสิก Converse Chuck Taylor All-Star , สไตล์สตรีทสีดำอย่าง Vans Old Skool หรือ VANS Classic Slip-On ก็น่าสนใจ, รองเท้าผ้าใบสีขาวล้วน Converse Jack Purcell Classic Low Top ฯลฯ
>>> 5 แบรนด์ รองเท้าผ้าใบสีขาวสุดคลาสสิก ใส่ได้บ่อยยังไงก็เท่ click!
>>> 4 คู่ The Best รองเท้าหุ้มข้อ ใส่กับลุคไหนก็เท่ click!
>>> รองเท้าผู้ชาย 5 สไตล์ ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ตลอดชีวิต click!
เทคนิคสุดท้ายที่มีความสำคัญที่สุด นั่นคือคุณต้องเข้าใจก่อนว่าสไตล์ที่คุณกำลังจะเลือกมาสวมใส่นั้น มีจุดเด่นอย่างไร ดีไซเนอร์ต้องการสื่อถึงอะไร แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ในแง่ของเทรนด์แฟชั่นเท่านั้น แต่เทคนิคนี้ยังสามารถใช้ได้กับการแต่งผู้ชายทุกรูปแบบอีกด้วย เพราะการเข้าใจถึงสไตล์จะทำให้คุณเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสไตล์นั้นได้เหมาะสม เข้ากันกับรูปร่าง ซึ่งเชื่อมโยงกลับไปยังเทคนิคที่ 1 นั่นเอง
เช่น กางเกงยีนส์ขาเดฟ จุดเริ่มต้นของกางเกงยีนส์ทรงนี้คือ ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับผู้ชายที่มีช่วงขาเรียวยาว ดังนั้นหากคุณเป็นคนต้นขาใหญ่ กางเกงขาเดฟจึงไม่พอเหมาะกับรูปร่างของคุณนั่นเอง ฯลฯ