แน่นอนว่าการเข้าฉายของ Frozen ภาคแรกในปี 2013 ได้สร้างปรากฏการณ์หลายๆ อย่างที่เกินคาด ไม่ว่าจะเป็น “รายรับทั่วโลก” ที่มหาศาลถึง $1,274,219,009 ซึ่งถือเป็น “เรื่องยาก” ที่แอนิเมชั่นสักเรื่องจะกวาดรายได้ทั่วโลกในระดับพันล้าน (แอนิเมชั่นเรื่องแรกที่เกินพันล้านคือ Toy Story 3) การพาเพลงประกอบภาพยนตร์อย่าง “Let It Go” คว้า 2 รางวัลสำคัญของ Oscar อย่าง “Best Animated Feature Film of the Year” (แอนิเมชั่นยอดเยี่ยม) และ “Best Achievement in Music Written for Motion Pictures, Original Song” (เพลงประกอบยอดเยี่ยม) รวมไปถึง Let It Go ยังทะยานเข้า Top 5 ของชาร์ตอันดับ 1 ของโลกอย่าง Billboard Hot 100 และทำยอดขายรวมทั่วโลกไปแล้วกว่า 10.9 ล้านก็อปปี้
ซึ่งภายหลังจากการรอคอยมากว่า 6 ปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ตัวละครจาก Frozen จะได้กลับมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้ง โดย “Frozen 2” หรือชื่อไทยที่ว่า “โฟรเซ่น 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” นั้นจะน่าติดตามแค่ไหน วันนี้เราขอมาเล่าให้ฟัง (แบบไม่สปอยล์) หลังจากที่ดูรอบสื่อมาแล้วครับ
ถ้าหากใครที่ติดใจพลังวิเศษของราชินีเอลซ่าในภาคแรก สำหรับ Frozen 2 นี้จะเป็นการบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของพลังวิเศษที่เอลซ่าได้รับ โดยเริ่มต้นจากเหตุการณ์ต่อจากภาคแรกที่เอลซ่าได้ปกครองอาณาจักรเอเรนเดลล์อย่างมีความสุข จวบจนมีบางสิ่งบางอย่างที่ร้องเรียกเอลซ่าจนทำให้เธอต้องออกเดินทางอีกครั้งเพื่อตามหาที่มาของสิ่งเหล่านั้น….
สำหรับตัวละครในภาคนี้ยังอยู่กันพร้อมหน้าตั้งแต่ เอลซ่า และสเฟน เพิ่มเติมคือคาแรกเตอร์ใหม่ที่เชื่อว่าดิสนีย์จงใจดีไซน์คาแรกเตอร์ออกมาให้กลายเป็นไวรัลของเด็กๆ ทั่วโลก (หลายๆ คนอาจเคยเห็นแล้วในเทรลเลอร์ภาพยนตร์) ยังไม่นับรวมกับคาแรกเตอร์ของ เอลซ่า และ อันนา ที่มีความโตขึ้น มีมิติที่ลึกมากขึ้น โดยเฉพาะบทอันนาที่เด่นขึ้นมาจากภาคแรกมากๆ (แต่ก็ยังไม่เท่าเอลซ่าอยู่ดี)
ในส่วนของเนื้อเรื่องเรากลับรู้สึกว่ามันสามารถเดาทางได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง ซึ่งถ้าให้เทียบกับภาคแรกต้องยอมรับว่าทำไว้ได้ซึ้งและกินใจกว่า ซึ่งหลายๆ สถานการณ์ในภาคนี้มันอาจจะดูไม่ซึ้งกินใจเท่ากับภาคแรกสักเท่าไหร่แต่ก็ถือว่าเป็นการเติบโตของตัวละครที่ใช้ได้เลยทีเดียว
และที่หนีไม่พ้นคงต้องเรื่องเพลงประกอบที่ยกทีมแต่งเพลงทีมเดิมกลับมาทั้งชุด ซึ่งไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่าภาคนี้ทางผู้กำกับจงใจให้มีความเป็นมิวสิเคิลมากยิ่งขึ้นจากการที่บรรจงใส่ฉากร้องเพลงมาแทบจะตลอดทั้งเรื่อง ถ้าใครที่ชอบเพลงเพราะๆ ดูเพลินๆ ย่อมหลงรักภาคนี้มากกว่าภาคแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งโดยเฉพาะเพลงธีมหลักอย่าง “Into the Unknown” ที่ฟังแล้วอาจจะไม่ติดหูเท่ากับ “Let It Go” แต่ก็สามารถที่จะปลุกเร้าอารมณ์คนดูให้มีส่วนร่วมไปกับตัวภาพยนตร์ได้ แต่เรารู้สึกนิดนึงว่าภาคที่แล้ว Let It Go มันถูกปล่อยออกมาในช่วงไคลแมกซ์ของเรื่องที่ทุกสถานการณ์มันพอเหมาะพอเจาะได้อย่างลงตัวมากกว่า
สรุปแล้ว Frozen 2 ถือเป็นภาคต่อที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี ยิ่งโดยเฉพาะเทคนิคการสร้างและงานภาพที่อลังการกว่าภาคแรกเป็นอย่างมาก (แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ขึ้น) ในส่วนของเพลงประกอบทั้งหมดภายในเรื่องก็ยังมีความเพราะเช่นเคย (และมีฉากร้องเพลงที่เยอะขึ้นกว่าภาคแรก) คาแรกเตอร์ของตัวละครใหม่ที่น่ารักน่าเอาใจช่วย และท้ายที่สุดคงต้องยกความดีความชอบให้กับตัวละคร “เอลซ่า” ที่เด่นสมกับชื่อภาค “ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ” เลยจริงๆ
Joker 2019 คือภาพยนตร์เรท R เรื่องแรกที่ทำรายได้ทะลุ 1,000 ล้านเหรียญฯ