ต้องบอกตามตรงว่าเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า ระบบ EV Charger ในบ้านเราแม้จะเป็นประเทศที่การเติบโตช้ากว่าประเทศอื่น แต่เชื่อเถอะว่าในอนาคตจะพัฒนาไปไกลและมีจุดเติมไฟฟ้า EV Charger ผุดขึ้นมาอีกมากมาย เพราะข้อดีของรถยนต์ระบบไฟฟ้าไม่ใช่แค่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังประหยัดพลังงานและขับสบายทั้งในเมืองและออกต่างจังหวัด โดยเฉพาะการขับขึ้นเขาซึ่ง Nissan LEAF ทำได้ดีจนน่าประหลาดใจ เราจะพาไปพิสูจน์พร้อมๆ กันครับ
คำกล่าวที่ว่า ไม่ลองกับตัวเองจะไม่มีวันเข้าใจ สามารถให้คำจำกัดความรถยนต์คันนี้ได้ เนื่องด้วยเรา ผู้ไม่เคยขับรถยนต์ไฟฟ้ามาก่อนและมองว่าเป็นรถที่พลังงานเสถียรและควรขับอย่างจำกัด เพื่อช่วยเซฟพลังงานให้ใช้ได้นาน แต่เมื่อได้ลอง Nissan LEAF ใหม่ ทุกความคิดเปลี่ยนไปทันที เพราะการทดลองขับครั้งนี้ไม่ใช่แค่การขับบนทางราบ แต่เป็นการขับขึ้นเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยอย่างดอยอินทนนท์ ในระยะทางท้าทายกว่า 200 กิโลเมตร เริ่มต้นจากในตัวเมืองเชียงใหม่ ขับขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ โดยมีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 2,565 เมตร จากนั้นเดินทางกลับสู่ที่พัก ซึ่งการทดสอบขับนี้ ใช้พลังงานไฟฟ้าจากการชาร์จเพียงเต็มครั้งเดียวเท่านั้น
เพราะระบบไฟฟ้านั้นไม่เหมือนรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซินที่จะมีเสียงกำลังเครื่องดังตั้งแต่สตาร์ทหรือปล่อยควันพิษออกมาตลอดเวลา แม้แต่ขณะที่รถจอดสนิท ทำให้เป็นหนึ่งในข้อดีที่ใครหลายๆ คนน่าจะชอบและด้วยความเงียบของนิสสัน ลีฟนี่เอง จึงต้องมีระบบไฟสัญญาณเตือนต่างๆ บอกไว้ พร้อมกับหน้าจอแสดงปริมาณความจุแบตเตอรี่ เพื่อแจ้งให้ผู้ขับรถได้ทราบสถานะ และให้เราพร้อมออกเดินทางในทันที
สิ่งหนึ่งขณะขับขึ้นหรือลงเขาเราต้องจำให้แม่นคือใช้เกียร์ต่ำ เพื่อไม่ทำให้เกิดอาการเบรกไหม้หรือเกียร์หลุดกับรถเครื่องยนต์เบนซิน – ดีเซล แต่มันต่างกันสิ้นเชิงขณะที่คุณใช้รถยนต์ไฟฟ้า สามารถใช้เกียร์ D เพื่อขับได้สบายๆ โดยไม่มีอาการกระตุกหรือเครื่องสะดุด แถมยังรักษาสถานะการวิ่งได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องออกแรงขับเยอะ นิสสัน ลีฟมีแรงบิดสูงสุดถึง 320 นิวตันเมตร สามารถให้อัตราเร่งอย่างน่าทึ่ง รวมถึงมอบการขับขี่ที่สะดวกสบายขณะขับขี่ แม้นบนเส้นทางที่คดเคี้ยวได้อย่างราบรื่น และไร้มลพิษ
ความน่าหวาดเสียวของทริปนี้คือปริมาณไฟฟ้าที่มีอยู่อย่างจำกัด ไม่สามารถแวะเติมพลังงานได้ จึงทำให้เรากังวลหน่อยๆ ว่าจะต้องเรียกรถลากเพื่อกลับถึงที่พักหรือไม่ แต่ความเจ๋งคือ นิสสัน ลีฟ สามารถฟื้นฟูพลังงานไฟฟ้าหรือที่เรียกว่า regenerative braking system ได้ด้วยตัวเอง เพื่อคืน % พลังไฟฟ้ากลับมาจำนวนขึ้นอยู่กับการใช้งานและระยะทางของผู้ขับ ซึ่งช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่ ซึ่งระบบฟื้นฟูพลังงาน ช่วยเพิ่มระยะทางในการขับขี่เมื่อใช้ชะลอความเร็ว มอเตอร์ไฟฟ้าเปลี่ยนพลังงานที่สูญเสียจากการเบรกกลับมาเป็นพลังงานไฟฟ้า เช่นระหว่างทางลงจากยอดดอยอินทนนท์ นิสสัน ลีฟ ใหม่สามารถสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับมาได้สูงสุดถึงกว่า 20% ทั้งนี้ความสามารถดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่และความลาดชันของเส้นทาง โดยการขับใน โหมด ‘B’ ของลีฟ จะช่วยให้ผู้ขับขี่ได้การฟื้นฟูพลังงานที่มากยิ่งขึ้นในขณะที่ชะลอความเร็ว
นอกจากนี้เรายังได้ทดลองใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ของนิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ของลีฟ ในระหว่างการขับขี่รวมถึง e-Pedal เทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ขับขี่เร่งความเร็ว ชะลอความเร็ว และหยุดนิ่งด้วยการใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว ทำให้ได้รับประสบการณ์การขับขี่ที่สะดวกสบายมากขึ้นทั้งในเมืองและนอกเมืองได้อย่างเป็นอย่างดี
นิสสัน ลีฟ ใหม่ ได้รับการออกแบบเพื่อเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่างแท้จริง พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะภายใต้สภาวะที่ท้าทายที่สุดบนภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วยสมรรถนะและเทคโนโลยีที่เป็นเลิศ
และแน่นอนว่าเราขับกลับถึงที่หมายโดยปลอดภัย ด้วยปริมาณแบตเตอรี่ ที่ยังเหลือถึงตั้ง 18% นับว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ทั้งการขับในเมืองและต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน
ปัจจุบันมีผู้จำหน่ายฯ รถยนต์ไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ อย่างเป็นทางการ 33 แห่งทั่วประเทศ ที่สามารถนำเสนอข้อมูลผลิตภัณฑ์ และให้บริการหลังการขาย โดยบุคคลากรที่มีความชำนาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับนิสสัน ลีฟ ใหม่ สามารถเยี่ยมชมโชว์รูมและศูนย์บริการนิสสันทั่วประเทศ หรือ สอบถามข้อมูลได้ที่ Call Center ที่ 02 401 9600 หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Nissan LEAF Thailand page
นิสสัน ลีฟ สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ได้ถึงสามวิธีหลักๆ ประกอบด้วย การชาร์จจากไฟบ้านปกติ (standard outlet charging) การชาร์จจากอุปกรณ์ชาร์จติดผนัง หรือ wall box charging และรวมถึงการชาร์จแบบด่วนหรือที่เรียกว่า Quick Charge ซึ่งสำหรับรายละเอียดของการชาร์จแบบต่างๆ มีดังนี้