รถหรูราคาแพงไม่ได้มีไว้เพื่ออวดความโก้เก๋ทางสังคมหรือเงินในกระเป๋าเพียงเท่านั้น แต่ถ้าคุณได้รู้จัก BMW ทั้ง 10 รุ่นแล้วลอง test drive ในสนาม จะเข้าใจว่าเงินที่เราเสียไป ไม่ใช่แค่ต้องการยานพาหนะที่ดูดีเพียงอย่างเดียว แต่ BMW ยังพ่วงความปลอดภัยสูงสุด ควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ และเทคโนโลยีระดับเหนือชั้นที่ทำให้คุณกับรถเป็นส่วนเดียวกัน ขับสนุก มั่นใจ ปลอดภัยอุ่นใจได้ในทุกๆ วัน
บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ได้รับการออกแบบเพื่อสุนทรียะในการขับขี่ ทรงพลังด้วยเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ส่งกำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตัวเมตร ที่ 1,750 – 2,500 รอบต่อนาที สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรได้ภายใน 7.2 วินาที ด้วยความเร็วสุงสุด 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง M Sport รอบคันและช่วงล่าง M Sport บีเอ็มดับเบิลยู 320d M Sport ยังมาพร้อมล้ออัลลอย M ขนาด 18 นิ้ว ลาย Star-spoke ขอบหน้าต่างภายนอกตกแต่งด้วย Black high-gloss รับกันอย่างลงตัวกับ หลังคาภายในสีดำ Anthracite ตัดกับอะลูมิเนียมลาย Hexagon พร้อมแถบสีดำเงา และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนังแท้ดีไซน์ M อำนวยความสะดวกยิ่งขึ้นด้วยระบบเซนเซอร์ควบคุมระยะการจอดด้านหน้าและหลัง (Park Distance Control) ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (DSC) ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (DTC) เซนเซอร์ควบคุมความปลอดภัยเมื่อเกิดการชน (Crash Sensor) ระบบป้องกันการกระแทกจากด้านข้าง (Side impact protection) พร้อมระบบบันเทิงล้ำสมัย จอภาพขนาด 6.5 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive และการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USB
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport เป็นนวัตกรรมที่ครบเครื่องด้วยประโยชน์ใช้สอยและความหรูหรา ประหยัดน้ำมันอย่างเหนือชั้นด้วยเทคโนโลยี iPerformance ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร ขุมพลังเบนซิน 4 สูบ BMWTwinPower Turbo สามารถส่งกำลังสูงสุดที่ 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า พร้อมแรงบิด 290 นิวตันเมตร สู่ล้อรถได้อย่างราบรื่นในทุกรอบเครื่อง ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้ามอบกำลังเพิ่มเติมสูงสุดอีก 65 กิโลวัตต์ / 89 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร ให้สมรรถนะที่พร้อมตอบสนองในเสี้ยววินาทีตามสไตล์ระบบส่งกำลังไฟฟ้า ทำงานประสานกันกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 8 จังหวะเพื่อให้ขับขี่ ได้สนุก ทันใจ โดยสามารถเลือกขับขี่โดยใช้พลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวได้ที่ความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนในโหมดไฮบริด บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อใช้งานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าชุดนี้จะมอบกำลังสูงถึง 185 กิโลวัตต์ / 252 แรงม้า ทั้งยังประหยัดน้ำมันด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 55.6 กิโลเมตรต่อลิตรและลดระดับมลภาวะในการขับขี่กับอัตราการปล่อยCO2 ที่ 42 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่ง M Aerodynamic ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว ลาย Double-Spoke และช่วงล่าง M Sport สำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งถูกปรับให้ต่ำกว่าเดิม 10 มิลลิเมตร พร้อมสปริงของช่วงล่าง M Sport และท่อนกันโคลงของช่วงล่างด้านหน้าและด้านหลังที่ช่วยลดอาการโยนในโค้ง เพิ่มความแม่นยำของการบังคับเลี้ยวโดยยังไม่ทิ้งความนุ่มนวลในการขับขี่ นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport มาพร้อมกับกระจกซันรูฟ สั่งงานเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมแผ่นเบนทางลมที่ติดตั้งมากับกระจกซันรูฟ ช่วยลดลมหมุนเวียนเข้ามาภายในและลดเสียงรบกวนที่เกิดจากลมภายนอก ขณะที่ภายในห้องโดยสาร เติมเต็มความสปอร์ตกับพวงมาลัยดีไซน์ M พร้อมก้านเปลี่ยนเกียร์ ที่พวงมาลัย เบาะนั่งแบบสปอร์ตพร้อมที่หนุนหลังปรับไฟฟ้า (Lumbar support) สำหรับเบาะนั่งตอนหน้า ระบบนำทาง เครื่องเสียงระบบ Hi-Fi แผงคอนโซลลาย Aluminium Hexagon และพนักพิงเบาะหลังสามารถปรับแบ่งพับได้แบบ 40:20:40 เพื่อความคล่องตัวในการบรรทุกสัมภาระได้สูงสุด
บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ พร้อมมอบกำลังสูงสุด 185 กิโลวัตต์ / 252 แรงม้า พร้อมแรงบิด 350 นิวตันเมตร มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 ที่ 147 กรัมต่อกิโลเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.3 วินาที และเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
บีเอ็มดับเบิลยู 430i Convertible M Sport โดดเด่นด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics ล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้วแบบ double-spoke และขอบหน้าต่างสีดำเงาจากชุดแต่ง BMW Individual หลังคาภายในตกแต่งอย่างสวยงามลงตัวด้วยวัสดุสีดำ anthracite จาก BMW Individual พร้อมด้วยระบบเสียงรอบทิศทางจาก Harman Kardon
บีเอ็มดับเบิลยู 520d Sport สะท้อนให้เห็นความสง่างามที่เป็นตัวตนของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 โดยมาพร้อมล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้วแบบ double-spoke ที่ส่งให้ BMW Individual high-gloss Shadow Line อวดโฉมเส้นสายที่ยกระดับความโฉบเฉี่ยวไปอีกขั้น ในขณะที่ไฟหน้า follow-me-home และไฟ welcome lighting ให้ผู้ขับขี่สัมผัสได้ถึงความใส่ใจและบุคลิกภาพของรถยนต์ ตั้งแต่เริ่มจนจบการเดินทาง
ภายในของรถยนต์ซีดานรุ่นนี้มาพร้อมกับห้องโดยสารที่เอื้อต่อผู้ขับขี่และการตกแต่งด้วย fine-wood trim ในสี poplar grain grey พร้อมด้วย highlight trim finisher สีโครเมียมมุก ที่เข้าคู่อย่างสมมบูรณ์แบบกับพวงมาลัยและเบาะหนัง พร้อมระบบ BMW Gesture Control และหน้าจอแสดงผลแบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว ที่ช่วยให้การควบคุมระบบความบันเทิงและฟังกชั่นโทรศัพท์แบบมาตรฐานเป็นไปอย่างง่ายดายและชาญฉลาด
บีเอ็มดับเบิลยู 520d Sport เปี่ยมสมรรถนะด้วยเครื่องยนต์ดีเซล BMW TwinPower Turbo4 สูบขนาด 2.0 ลิตร ส่งกำลังสูงสุดที่ 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า พร้อมแรงบิด 400 นิวตันเมตร สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 7.5 วินาที เร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 235 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาคู่กับเกียร์อัตโนมัติ Steptronic 8 สปีด มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตร และมีอัตราการปล่อย CO2 เพียง 132 กรัมต่อกิโลเมตร
บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ให้กำลังสูงสุดถึง 135 กิโลวัตต์ / 184 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 290 นิวตันเมตร ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลังสูงสุด 83 กิโลวัตต์ / 133 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 250 นิวตันเมตร เมื่อทำงานร่วมกัน เครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าจะให้กำลังรวมสูงสุดถึง 185 กิโลวัตต์ / 252 แรงม้า และแรงบิดรวมสูงสุดกว่า 420 นิวตันเมตร ด้านอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 55.6 กิโลเมตรต่อลิตร อัตราการปล่อย CO2 ที่ 41 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 6.2 วินาที และเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 235กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากโหมด SPORT, COMFORT และ ECO PRO ผู้ขับขี่สามารถใช้ eDrive เพื่อเปิดการใช้งานระบบ BMW eDrive ซึ่งช่วยให้ทุกการเดินทางแม่นยำมากขึ้นด้วยอีก 3 โหมดเพิ่มเติม คือ AUTO eDRIVE, MAX eDRIVE และBATTERY CONTROL และยังมาพร้อมระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) หน้าจอความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ซึ่งนอกจากจะควบคุมโดยปุ่ม iDrive Controller ยังสามารถสั่งการด้วยการกดปุ่มบนหน้าจอ หรือด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) อีกด้วย และระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW Gesture Control)
บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport อวดความปราดเปรียวด้วยล้ออัลลอย M ขนาด 19 นิ้วลาย Double-Spoke ระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ (BMW Head-Up Display) หลังคากระจกเปิดปิดด้วยระบบไฟฟ้า ขอบหน้าต่างภายนอกตกแต่งแบบ BMW Individual high-gloss พร้อมชุดตกแต่งภายนอก M Aerodynamics
นอกจากนี้ ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) จะทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้นด้วยระบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการจอดรถในรูปแบบแนวขนานหรือการจอดแบบเข้าซอง ระบบอัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์ (ultrasonic sensors)สามารถช่วยค้นหาพื้นที่จอดที่เหมาะสมได้ในขณะขับขี่ที่ความเร็วสูงสุด 35 กม./ชั่วโมง โดยเมื่อพบจุดจอดแล้ว ระบบจะทำการจอดรถเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเกียร์ หมุนพวงมาลัย ตลอดจนผ่อนคันเร่งหรือเบรกโดยอัตโนมัติ และในกรณีที่พื้นที่จอดรถทำมุมกับถนน ระบบจะต้องการพื้นที่ว่างด้านข้างตัวรถเพียงข้างละ 40 เซนติเมตรเท่านั้นในการทำงานแบบอัตโนมัติ
ด้วยการออกแบบที่เน้นน้ำหนักเบา และการเลือกใช้วัสดุอลูมิเนียมและเหล็กกล้าคุณภาพสูงในส่วนโครงสร้างตัวรถและแชสซี บีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport จึงมีน้ำหนักลดลงจาก บีเอ็มดับเบิลยู ซีรี่ส์ 5 GT รุ่นก่อนหน้าราว 150 กิโลกรัม ซึ่งเมื่อนำไปผสมผสานกับคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และเครื่องยนต์ใหม่ที่ทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จึงทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport มีสมรรถนะสไตล์สปอร์ตที่เปี่ยมพลังกว่าที่เคย ทั้งยังประหยัดน้ำมันมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
เครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบที่เป็นหัวใจของบีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport เสริมกำลังด้วยเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ล้ำสมัย ทำงานควบคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด Steptronic มอบพละกำลังสูงสุดที่ 195 กิโลวัตต์ / 265 แรงม้า พร้อมให้แรงบิดสูงสุดที่ 620 นิวตันเมตร จึงเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ใน 6.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและอัตราการปล่อย CO2 อยู่ที่ 17.7 กิโลเมตรต่อลิตร และ 149 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
บีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport สะดวกต่อการใช้งานด้วยประตูท้ายรถแบบบานเดี่ยวที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า เบาะที่นั่งปรับเอนได้แบบ 40:20:40 สามารถพับให้เป็นพื้นราบสำหรับเก็บสัมภาระได้ด้วยปุ่มกดบริเวณพื้นที่กระโปรงท้าย ส่วนฝาปิดช่องเก็บสัมภาระแบบสองชิ้น มาพร้อมกับโครงสร้างแข็งแกร่งทนทาน และสามารถพับเก็บไว้ใต้พื้นกระโปรงท้ายได้
บีเอ็มดับเบิลยู 630d GT M Sport มาพร้อมระบบควบคุมและแสดงผลชั้นเยี่ยม นำเสนอที่สุดแห่งความครบถ้วนในการควบคุมรถยนต์ การนำทาง รวมถึงฟังก์ชั่นการสื่อสารและระบบบันเทิงได้อย่างไม่มีใครเทียบ ด้วยระบบ iDrive ที่เป็นแกนหลักของการสั่งงานรถยนต์รุ่นนี้ ทั้งยังเสริมประสิทธิภาพการใช้งานด้วยระบบสัมผัสบนหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) และระบบการสั่งงานด้วยการเคลื่อนไหวของมือ (BMW Gesture Control)
บีเอ็มดับเบิลยู X2 ที่มาพร้อมรูปทรงโฉบเฉี่ยวและดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานรูปลักษณ์สไตล์สปอร์ตคูเป้เข้ากับความแข็งแกร่งทรงพลังในแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยูตระกูล X โดยเป็นครั้งแรกที่กระจังหน้าไตคู่อันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู มีรูปทรงส่วนฐานด้านล่างกว้างกว่าด้านบน สร้างมิติให้รถดูกว้างและโฉบเฉี่ยวมากขึ้น ตอกย้ำความสปอร์ตด้วยช่องดักอากาศลวดลายหกเหลี่ยม นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X2 ยังเป็นรุ่นแรกในตระกูล X ที่มีตราของบีเอ็มดับเบิลยูประดับอยู่บนเสา C-pillar ทั้งสองข้าง ในดีไซน์ที่คล้ายคลึงกับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู 2000 CS และบีเอ็มดับเบิลยู 3.0 CSL
บีเอ็มดับเบิลยู X2 มาพร้อมชุดแต่งรอบคัน M Sport X สร้างความสะดุดตาด้วยสเกิร์ตและซุ้มล้อสี Frozen Grey ตัดกับสีตัวถังอย่างลงตัว สร้างมิติความกว้าง และย้ำถึงเอกลักษณ์ความแข็งแกร่ง ท่อไอเสียแบบคู่ยังสื่อถึงความทรงพลังของเครื่องยนต์ ในขณะที่ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาลาย Y-spoke ในสไตล์ M ขนาด 19 นิ้ว สะกดทุกสายตาด้วยเฟรมรอบซุ้มล้อรูปทรงเหลี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ในสี Frozen Grey เช่นกัน
บีเอ็มดับเบิลยู X2 sDrive20i M Sport X ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo 4 สูบ ให้กำลังสูงสุด 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 280 นิวตัวเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที เมื่อจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบ Steptronic คลัตช์คู่ 7 จังหวะ มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายใน 7.7 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 227 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
อีกหนึ่งไฮไลท์อันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู X2 คือหลังคากระจกแบบ Panorama สองส่วน ส่วนหน้าสามารถเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า สร้างความรู้สึกโล่งโปร่งสะดวกสบายด้วยแสงสว่างที่เพียงพอภายในรถ พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานอื่น ๆ รวมถึงหน้าจอ Control Display ขนาด 8.8 นิ้ว ปุ่มควบคุม iDrive พร้อมระบบสัมผัส ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ที่กระจกหน้าฝั่งคนขับ (BMW Head-Up Display) วิทยุพร้อมการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth และช่อง USBการเชื่อมต่อโทรศัพท์ผ่าน Bluetooth ช่อง USB และแท่นสำหรับอุปกรณ์เสริม ส่วนพื้นที่เก็บของที่มีความจุสูงสุด 470 ลิตร ช่วยให้บีเอ็มดับเบิลยู X2 สร้างความพึงพอใจและสะดวกสบายในทุกการขับขี่ของชีวิตประจำวัน
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ยังคงเอกลักษณ์ความแข็งแกร่งบนท้องถนนและลุคสปอร์ตปราดเปรียวไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ มาพร้อมกับล้ออัลลอย M ลาย Double-spoke ขนาด 19 นิ้ว เสริมความสะดุดตาด้วยชุดตกแต่งรอบคันดีไซน์ M Aerodynamics และขอบหน้าต่างสีดำเงา ภายในรถตกแต่งด้วย Aluminium Rhombicle trim finishers ตัดกับ Pearl Chrome พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนังแบบ M Sport พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ และยังเสริมความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นด้วยระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ และกล้องมองหลัง เพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและแม่นยำในทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ยังมาพร้อมช่วงล่าง M Sport ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ดีเซลทรงพลัง 4 สูบ เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะแบบ Steptronic ให้กำลังสูงสุด 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ส่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลา 8 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อัตราสิ้นเปลือง น้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.6 กิโลเมตรต่อลิตร และระดับการปล่อย CO2 เฉลี่ยที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร
บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport มาพร้อมปุ่มควบคุม iDrive และสั่งงานด้วยระบบสัมผัส จอแสดงผลภาพความละเอียดสูงขนาด 10.25 นิ้ว ระบบการสั่งงานอัจฉริยะ BMW Gesture Control ที่สามารถควบคุมระบบนำทางและระบบบันเทิงสื่อสาร ผ่านการเคลื่อนไหวของมือ และการสั่งงานด้วยเสียง (Intelligent Voice Control Assistance) ที่ให้ผู้ขับขี่สามารถสั่งงานโดยใช้ภาษาพูดในชีวิตประจำวันแทนที่การใช้ชุดคำสั่งที่กำหนดมา นอกจากนี้ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารยังสามารถเพลิดเพลินกับระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon เพื่อการเดินทางที่สุนทรีย์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport ยังมาพร้อมระบบช่วยนำรถเข้าที่จอด (Parking Assistance) ทำให้การจอดรถง่ายดายขึ้นด้วยระบบอัลตร้าโซนิคเซ็นเซอร์ (ultrasonic sensors) สามารถช่วยค้นหาพื้นที่จอดที่เหมาะสม โดยเมื่อพบจุดจอดแล้ว ระบบจะทำการจอดรถเองทั้งหมด
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Coupe เป็นยนตรกรรมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการขับขี่แบบสปอร์ตโดยเฉพาะ มาพร้อมขุมกำลัง BMW M TwinPower Turbo 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 370 แรงม้าที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 465 นิวตัวเมตร ที่ 1,400 – 5,560 รอบต่อนาที มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 4.3 วินาที และมีความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ควบคุมด้วยเกียร์อัตโนมัติ M แบบคลัตช์คู่ 7 จังหวะ ตอบสนองการขับขี่แบบรถแข่งได้ในทุกจังหวะและย่านความเร็ว
บีเอ็มดับเบิลยู M2 Coupe มาพร้อมดีไซน์โฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตทั้งภายนอกและภายใน ด้วยกันชนหน้า ที่ใหญ่และดุดัน พร้อมกระจังหน้าในแบบเอกลักษณ์ของรถยนต์ตระกูล M และล้อขนาดใหญ่ 19 นิ้ว M Double Spoke และโดดเด่นด้วยท่อไอเสียคู่แยกออก 2 ทาง มาพร้อม Adaptive LED หรือระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะปรับตามทิศทางหมุนของพวงมาลัย กระจกซันรูฟ กล้องและเซ็นเซอร์ด้านหลัง
ภายในห้องโดยสารหรูหราปราดเปรียวด้วยโทนสีดำ พร้อมการดีไซน์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด ทั้งหลังคาภายในสี Anthracite พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มด้วยหนังแบบ M และเบาะหนังประทับตราสัญลักษณ์อักษร M มอบความรู้สึกแบบรถสปอร์ตพันธุ์แท้ที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังมีระบบ BMW Apps ที่รองรับการเชื่อมต่อและทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น M Laptimer ที่ช่วยบันทึกและวิเคราะห์การขับขี่ พร้อมทั้งแชร์ข้อมูลผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ได้ หรือ GoPro สำหรับการควบคุมกล้องวิดีโอทั้งภายในและภายนอกตัวรถ และเพลิดเพลินไปกับระบบเสียงไฮไฟ Harman Kardon
บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe โดดเด่นด้วยตราสัญลักษณ์ M ซึ่งสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับรถยนต์สไตล์สปอร์ตตระกูล M ที่มีเครื่องยนต์เป็นหัวใจสำคัญ โดยเครื่องยนต์เบนซิน BMW M TwinPower Turbo 6 สูบในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ใช้ชุดอัดอากาศแบบเทอร์โบคู่ สามารถส่งกำลังสูงสุดได้ถึง 431 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 550 นิวตันเมตรที่ 1,850 – 5,500 รอบต่อนาที ซึ่งมากกว่าแรงบิดสูงสุดของรถยนต์ที่ยอดเยี่ยมอย่างบีเอ็มดับเบิลยู M3 ประมาณ 40% แม้จะมาพร้อมสมรรถนะที่เพิ่มขึ้น แต่รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ยังประสบความสำเร็จในการลดอัตราสิ้นเปลืองพลังงานและอัตราการปล่อยมลพิษได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ ที่เฉลี่ย 12.3 กิโลเมตรต่อลิตร และสามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายในเวลาเพียง 4.1 วินาที ด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติแบบคลัชท์คู่ M 7 สปีด
หัวใจแห่งความสำเร็จของสมรรถภาพทรงพลังสูงสุดและประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมเกิดขึ้นจากการลดน้ำหนัก ของตัวรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 80 กิโลกรัม และด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงน้ำหนักที่เบานี้เอง ส่งผลให้รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe นี้สร้างมาตรฐานใหม่ของคอนเซ็ปต์โดยรวม และการตอบสนองที่แม่นยำและความคล่องตัว ด้วยดีไซน์อัจฉริยะที่คัดเลือกวัสดุที่มีน้ำหนักเบา โดยใช้วัสดุเสริมใยคาร์บอน (CFRP)และอะลูมิเนียมมาเป็นส่วนประกอบของโครงแชสซีและตัวถัง
นอกจากนี้ หลังคาของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe ยังสร้างจากวัสดุเสริมใยคาร์บอนทั้งหมด ภายในของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M4 Coupe โฉบเฉี่ยวในดีไซน์สปอร์ต ด้วยพวงมาลัยและเบาะที่นั่งแบบ M Sport บุหนังแท้ Merinoเสริมความหรูหราด้วยการตกแต่งอะลูมิเนียมลาย Blade พร้อมแถบโครเมียมสีดำ มาพร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 2 โซน ม่านบังแดดกระจกหลังไฟฟ้า และสะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-Up Display ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon และแอพพลิเคชั่นสำหรับสมาร์ทโฟน
บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้เปิดตัว BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance ไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยบริการ BMW ConnectedDrive สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance จะเปิดให้ผู้ใช้งานควบคุมระบบต่างๆ ของรถได้จากระยะไกล อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับรถได้อย่างง่ายดาย ผ่านแอพพลิเคชั่น BMW Connected บน iPhone โดยฟีเจอร์พิเศษสำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริด ได้แก่
· การแสดงสถานะรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบสถานะและระดับของแบตเตอรี่ ระยะทางที่คาดว่าจะแล่นได้ด้วยพลังงานไฟฟ้าที่เหลืออยู่ และข้อมูลเกี่ยวกับการบำรุงรักษารถได้จากทุกที่ ทุกเวลา
· การควบคุมการชาร์จพลังงานไฟฟ้าและระบบปรับอากาศภายในห้องโดยสารจากระยะไกล ผู้ใช้งานสามารถเปิด/ปิดเครื่องปรับอากาศในห้องโดยสารได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน หรือตั้งเวลาเปิด/ปิดล่วงหน้าให้ตรงกับเวลาที่ต้องการออกเดินทาง และหากรถยนต์เชื่อมต่ออยู่กับสถานีชาร์จ ผู้ใช้งานยังสามารถควบคุมการชาร์จด้วยการตั้งเวลาที่ต้องการได้ เพื่อเลือกให้ชาร์จไฟฟ้าในช่วง off peak หรือในช่วงเวลาที่มีความต้องการในการใช้ไฟฟ้าน้อยและมีอัตราค่าไฟฟ้าต่ำกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ
· ระบบการนำทาง ที่สามารถค้นหาและนำทางไปยังสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดได้อีกด้วย
· การประมวลและแสดงผลข้อมูลการขับขี่ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ของแต่ละบุคคล โดยวิเคราะห์รูปแบบการขับขี่และควบคุมรถยนต์บนท้องถนน
นอกจากฟีเจอร์สำหรับการใช้งานกับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู iPerformance แล้ว BMW ConnectedDrive ยังมาพร้อมฟีเจอร์อีกมากมายเพื่อมอบประสบการณ์การเชื่อมต่อไร้ขีดจำกัดแบบครบวงจร ระหว่างผู้ขับ ยานยนต์ และโลกภายนอก โดยมีบริการพื้นฐานได้แก่ BMW Teleservices บริการที่ช่วยจัดการนัดหมายอัตโนมัติ โดยรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูจะสามารถรับรู้กำหนดของการบริการตามสภาพ (CBS) และทำการแชร์ข้อมูลของรถยนต์กับศูนย์บริการบีเอ็มดับเบิลยูที่คุณต้องการโดยอัตโนมัติ หรือผู้ขับขี่สามารถทำการติดต่อผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยูด้วยตนเองผ่าน BMW Teleservice Call ในเมนู iDrive เพื่อนัดหมายการรับบริการล่วงหน้า พร้อมด้วย BMW Teleservice Battery Guard บริการที่คอยตรวจสอบระดับแบตเตอรี่และแจ้งเตือนผู้ขับขี่ด้วยการส่งข้อความ SMS หรืออีเมล หากระดับพลังงานในแบตเตอรี่ลดลงต่ำกว่าระดับมาตรฐาน และหากระดับพลังงานในแบตเตอรี่ต่ำกว่าจุดที่วิกฤต ศูนย์บริการจะได้รับการแจ้งให้ทราบโดยอัตโนมัติ เพื่อดำเนินการนัดหมายกับลูกค้าเพื่อเข้ารับบริการได้
และอีกหนึ่งบริการพื้นฐานของ BMW ConnectedDrive คือ Intelligent Emergency Call ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่ติดต่อกับศูนย์บริการฉุกเฉินของบีเอ็มดับเบิลยูทางโทรศัพท์เพียงแค่กดปุ่ม SOS ซึ่งสามารถรองรับการบริการได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ หรือในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ ระบบเซ็นเซอร์การชนจะส่งสัญญาณแจ้งตำแหน่งพิกัดรถ หมายเลขตัวถัง ชนิดของการชน สถานะของถุงลมนิรภัย และเข็มขัดนิรภัย ไปยังศูนย์บริการโดยอัตโนมัติเพื่อการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ผู้ใช้งาน BMW ConnectedDrive สามารถเลือกเพิ่มบริการและแอพพลิเคชั่นตามความต้องการของตนได้ ผ่าน BMW ConnectedDrive Store โดยมีบริการและแอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ดังนี้
และเพื่อการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัดมากยิ่งขึ้นในทุกที่และทุกเวลา ผู้ใช้งานยังสามารถเชื่อมต่อบริการ BMW ConnectedDrive เข้ากับแอพพลิเคชั่น BMW Connected เพื่อใช้งานเทคโนโลยีล้ำสมัยของบีเอ็มดับเบิลยูได้อย่างเต็มประสิทธิภาพผ่านทาง iPhone หรือ Apple Watch ซึ่ง BMW Connected มาพร้อมบริการที่สามารถอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้งาน ได้แก่