ไม่ว่าคุณจะมีหนังเรื่องโปรดอยู่ในใจสักกี่เรื่อง แต่หนัง 5 เรื่องที่เรากำลังนำเสนอนี้ เป็นหนังที่ได้ชื่อว่า “Best Movies of All Time” ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังคงความสนุกและประทับใจ …ตามไปดูกันว่าหนังเหล่านี้มีเรื่องไหนกันบ้าง
:: เข้าฉายในปี 1994
Forrest Gump หนังที่ได้รับเลือกให้เป็นหนังดีเด่น ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร (ปัจจุบันหนังเรื่องนี้มีอายุ 25 ปีแล้ว) หนังเรื่องนี้ก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ โดยเฉพาะข้อคิดการใช้ชีวิตที่ตั้งอยู่บนโลกของความจริง ดังเช่นคำพูดของตัวละครในหนังที่ว่า
“ชีวิตเปรียบเสมือนกล่องช็อกโกแลต คุณไม่มีทางรู้ว่าคุณจะเจอกับช็อกโกแลตรสอะไร จนกว่าคุณจะเปิดกล่องนั้น”
ความสำเร็จของหนังเรื่องนี้ เชื่อว่าเราต่างสัมผัสได้ แต่หากให้เอ่ยในเชิงรูปธรรม คงเห็นได้จากการคว้ารางวัลมากมาย ตั้งแต่เวทีใหญ่อย่างรางวัลออสการ์ ปี 1995 ที่คว้ามาได้ถึง 6 สาขาด้วยกัน พ่วงด้วยรางวัลลูกโลกทองคำอีก 3 รางวัลในปีเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีรางวัลจากเวทีอื่นๆ อีกมากมาย
ที่สำคัญหนังเรื่องนี้ยังทำเงินได้สูงถึง 677.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ถ้าเทียบกับค่าเงินในปัจจุบันก็ราวๆ 989 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากทุนสร้างเพียงแค่ 55 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นหนังคลาสสิกที่ประสบความสำเร็จตลอดกาล
:: ภาคแรกเข้าฉายเมื่อปี 1972 , ภาคสองเข้าฉายเมื่อปี 1974 และภาคจบ เข้าฉายในปี 1990
“ฉันจะยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้”
หนังที่ว่าด้วยเรื่องครอบครัวมาเฟียชาวอิตาลีในช่วงทศวรรษที่ 1945 – 1955 สร้างจากนวนิยายชื่อเดียวกัน โดยคำพูดของตัวเอกของเรื่อง Don Vito Corleone ที่กล่าวว่า “ฉันจะยื่นข้อเสนอที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้” ที่ฟังดูนักเลงนี้ คือความสนุกของหนังคลาสสิกเรื่องนี้
หากถามว่า The Godfather สนุกยังไง คงต้องตอบด้วยข้อมูลว่า หนังเรื่องนี้ครองตำแหน่งอันดับ 2 ของภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาล ซึ่งจัดอันดับโดยสถาบันภาพยนตร์อเมริกันในปี 2007 แน่นอนว่าหนังเรื่องนี้ยังครองรางวัลออสการ์ปี 1973 ถึง 3 รางวัล สำหรับ The Godfather ภาคแรก ขณะที่ภาค 2 ครองรางวัลออสการ์ถึง 6 รางวัลในปี 1975
ภาคแรกของหนังเรื่องนี้กวาดรายได้ไปถึง 150 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้าง 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และที่น่าทึ่งคือ The Godfather ภาคแรกใช้เวลาถ่ายทำเพียง 62 วันเท่านั้น
:: เข้าฉายเมื่อปี 1994
แม้จะไม่มีรางวัลออสการ์มาการันตี แต่หนังเรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และเชื่อว่า The Shawshank Redemption เป็นหนังในดวงใจของใครหลายคนอีกด้วย โดยหนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องสั้นของนักเขียนชื่อก้องโลก ‘สตีเฟน คิง’ จากเรื่องสั้น Rita Hayworth and Shawshank Redemption
หนังเล่าเรื่องราวของนายธนาคารหนุ่มกือบ 2 ทศวรรษในคุกชอว์แชงค์ ทั้งมิตรภาพที่เกิดขึ้นและเรื่องราวชีวิตสะเทือนอารมณ์ของผู้คนในเรือนจำ
“ความหวังเป็นสิ่งที่ดี บางทีอาจจะดีที่สุดด้วย และสิ่งดีๆ มันไม่ค่อยตายหรอก”
เบื้องหลังของหนังเรื่องนี้น่าสนใจไม่แพ้บทภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดลงแผ่นฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นลิขสิทธิ์ที่สตีเฟน คิงขายในราคาเพียง 1 ดอลลาร์ นอกจากนี้ทั้งผู้กำกับและผู้อำนวยการสร้างยังตามหาสถานที่ถ่ายทำนานถึง 5 เดือน จนไปเจอกับทัณฑสถานแมนส์ฟิลด์ที่มีอายุกว่า 100 ปี แต่ช่วงเวลานั้นถูกปิดไปแล้ว กว่าจะปรับปรุงให้พร้อมใช้ถ่ายทำจึงต้องเสียเวลาไปอีก 5 เดือน ดังนั้นกว่าหนังเรื่องนี้จะเริ่มทำถ่ายทำได้จึงไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จทั้งในรูปแบบรายได้และคำวิจารณ์ในแง่ดี จนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 7 สาขา แม้จะชวดทุกสาขา เพราะพ่ายแพ้ให้กับเรื่อง Forrest Gump ที่เข้าชิงในปีเดียวกัน
:: เข้าฉายเมื่อปี 2008
“คนบางคนไม่ได้ต้องการสิ่งที่มีเหตุผล คนบางคนเพียงต้องการเห็นโลกลุกเป็นไฟ”
ภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ที่หลายคนยกขึ้นหิ้งตลอดกาล แต่จะให้เราเรียกว่าหนังเรื่องนี้ว่า เป็นหนังคลาสสิกก็พูดได้ไม่เต็มปาก หรือจะบอกว่าเป็นหนังใหม่ก็ไม่ใช่เช่นกัน แต่ที่แน่ๆ หนังเรื่องนี้เป็นภาคต่อของภาพยนตร์แอ็คชั่นเรื่องฮิต Batman Begins นอกจากนี้ The Dark Knight ยังเป็นหนังที่ทำให้ผู้ชมเกิดอาการหลงใหลในความร้ายกาจของโจ๊กเกอร์
The Dark Knight ถูกจัดอันดับให้เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลอันดับที่ 3 จากเว็บไซต์ IMDb โดยความสนุกของหนังเรื่องนี้คงเป็นการเผชิญหน้าระหว่างแบทแมน กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างโจ๊กเกอร์
นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังคว้ารางวัลออสการ์ในปี 2009 คือ สาขาลำดับเสียงยอดเยี่ยม และสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม จากตัวละครโจ๊กเกอร์ที่รับบทโดย ‘ฮีธ เลดเจอร์’ ดาราผู้ล่วงลับไปก่อนที่ภาพยนตร์ออกฉาย และเขาคนนี้ยังคว้ารางวัลลูกโลกทองคำในสาขาเดียวกันอีกด้วย
โดยคำพูดที่ว่า “คนบางคนไม่ได้ต้องการสิ่งที่มีเหตุผล คนบางคนเพียงต้องการเห็นโลกลุกเป็นไฟ” สามารถบ่งบอกคาแรคเตอร์ของว้ายร้ายโจ๊กเกอร์ได้เป็นอย่างดี และแม้จะคว้ารางวัลออสการ์ได้เพียง 2 สาขา แต่ The Dark Knight ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงถึง 8 สาขาเลยทีเดียว
:: เข้าฉายเมื่อปี 1994
“ทำไมคนเราถึงพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระเพียงเพราะต้องการสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น”
หนังที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 5 ของภาพยนตร์ยอดเยี่ยมตลอดกาลบนเว็บไซต์ IMDb จาก 250 เรื่อง เป็นภาพยนตร์ที่มีทั้งคนชอบและเกลียดในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะบทหนังที่ทั้งกวนและตลกร้ายของผู้กำกับที่ควบตำแหน่งนักเขียนบท
Pulp Fiction ได้รับการยกย่องให้เป็นภาพยนตร์คลาสสิกและเป็นผลงานอมตะที่ทำให้ ‘เควนติน แทแรนติโน’ ผู้กำกับโด่งดังในวงการภาพยนตร์ โดยคำพูดจากบทภาพยนตร์ที่บ่งบอกเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คือคำพูดที่ว่า “ทำไมคนเราถึงพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ เพียงเพราะต้องการสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น”
ความสนุกที่ทำให้หนังคลาสสิกเรื่องนี้ติดอันดับ Best Movies of All Time คงเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากบทภาพยนตร์ที่สามารถบิ้วให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมไปกับหนัง การันตีด้วยรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในปี 1995 และรางวัลลูกโลกทองคำในสาขาเดียวกัน