นอกจากความสนุกของเกมการแข่งขันบนสนามหญ้ากับการประชันฝีเท้าของนักฟุตบอลชาติต่างๆ แล้ว ‘เพลงบอลโลก’ ก็เป็นอีกหนึ่งกิมมิกที่มาช่วยเพิ่มสีสันให้ศึกฟุตบอลโลกในแต่ละครั้ง วันนี้เราจึงรวม 7 เพลงประจำศึกฟุตบอลโลกที่ติดหูมาฝากกัน โดยขอเรียงลำดับจากปี ค.ศ. ละกัน!!
ฟุตบอลโลกปีนี้ เพลงประจำศึกฟุตบอลมีชื่อว่า “Live It Up” โดยได้นักร้องและนักแต่งเพลงชาวมอเมริกัน Nicky Jam มาฟีเจอริ่งกับ Will Smith นักแสดงชื่อดังระดับโลกและ Era Istrefi นักร้องสาวเชื้อสายโคโซโว เพลงเน้นจังหวะเร้าใจ สนุกสนาน
อีกหนึ่งเพลงที่ได้นักร้องสาว “ชากีล่า” มาขับร้อง โดยฟีเจอริ่งกับ คาร์ลินฮอส บราวน์ เพลงนี้ยังคงเน้นเพลงสนุกๆ จังหวะคึกคัก พร้อมผสมผสานกับป๊อปเข้ากับบราซิลกันอย่างลงตัว แม้จะเป็นเพลงที่ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนเพลงประจำฟุตบอลโลกก่อนหน้านี้ แต่ก็เป็นอีกเพลงที่แฟนบอลน่าจะติดหูกันเป็นอย่างดี
เป็นเพลงที่ติดหูเราเป็นอย่างมากกับ Waka Waka เพลงประจำฟุตบอลโลกปี 2010 ที่ได้นักร้องสุดเซ็กซี่ Shakira มาขับร้องร่วมกับวงดนตรีชื่อดังของแอฟริกาใต้ Freshlyground มาร่วมสร้างสรรค์เพลง โดยเพลงฟุตบอลโลกเพลงนี้ยังคงเน้นจังหวะสนุกสนานอีกเช่นเคย แถมเพลงนี้ยังเรียกได้ว่าเป็นเพลงดังของฟุตบอลโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างมากอีกด้วย
แม้จะไม่ใช่เพลงอย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นอีกเพลงที่น่าจดจำ เพราะเป็นเพลงที่ได้แรงบันดาลใจไม่ธรรมดาจากเรื่องราวของผู้ลี้ภัย จึงไม่แปลกหากเนื้อเพลงจะกินใจและเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง ขับร้องโดย K naan นอกจากนี้ Coca – Cola ยังนำเพลงนี้ไปประกอบกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับฟุตบอลโลกปี 2010
เพลงที่ใส่กลิ่นอายความเป็นแอฟริกาเอาไว้สูงมาก เพราะเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2006 อย่างเยอรมันตั้งแต่ส่งข้อความถึงเจ้าภาพฟุตบอลโลกในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งก็คือแอฟริกาใต้นั่นเอง โดยได้ Herbert Grönemeyer นักร้องชาวเยอรมันมาขับร้อง
เพลงนี้มีชื่อว่า La Copa de la Vida กับจังหวะลาตินชวนแดนซ์ โดยขับร้องเป็นภาษาสเปนผ่านน้ำเสียงของนักร้องชาวปวยร์โตรีโก Ricky Martin ที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะเนื้อเพลงที่ว่า “Here we go! Ale, Ale Ale! Go, go, go! Ale, Ale Ale!” ซึ่งถือเป็นวรรคทองของเพลงที่ชวนติดหูสุดๆ
อีกหนึ่งเพลงคลาสสิคของวง Queen และยังถือว่าเป็นเพลงประจำการแข่งฟุตบอลโลกที่ฮิตตลอดกาล โดยติดอันดับที่ 4 ใน Billboard Hot 100 ในสหรัฐอเมริกาและยังเป็นหนึ่งในเพลง Grammy Hall of Fame อีกด้วย
ถ้าคุณอายุต่ำกว่า 30 ปีคงไม่เคยฟังนี้อย่างแน่นอน เพราะเป็นเพลงประจำศึกฟุตบอลโลกปี 1990 ที่ขับร้องเป็นภาษาอิตาลี กับสไตล์เพลงร็อคๆ โดยมีท่อนฮุคคุ้นหูว่า ‘To be number one’ ตามชื่อเพลง แต่สำหรับคนไทย เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นเพลงแห่งประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลกของไทย เพราะในปี 1990 เป็นปีแรกที่ประเทศไทยถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกครบทุกนัดเป็นครั้งแรก