พันจินเหลียน เป็นหนึ่งในตัวละครจากวรรณกรรมจีนที่ชื่อว่า “จินผิงเหมย์” หรือ “บุปผาในกุณฑีทอง” ซึ่งเป็นวรรณกรรณเชิงโลกีย์ ที่มีการพรรณาถึงฉากเซ็กซ์ไว้มากมาย จนสุดท้ายจึงไม่สามารถที่จะนำวรรณกรรมเรื่องนี้ รวมเข้าไว้เพื่อเป็น 1 ใน 4 ของสุดยอดวรรณกรรมจีนได้ โดยเรื่องราวได้เล่าถึง ซีเหมิน ชิ่ง ชายเพลย์บอยผู้ได้แต่งงานกับเศรษฐินีม่าย และได้คบชู้กับสาวงามที่ชื่อว่า พันจินเหลียน ก่อนที่จะร่วมสมคบคิดกับเธอ และฆ่าสามีของเธอเสีย นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้ชื่อของ พันจินเหลียน กลายเป็นชื่อที่นำมาเปรียบเปรยถึงผู้หญิงแพศยาที่ชั่วร้าย ที่ถูกหยิบยกชื่อขึ้นมาพูดถึงในวัฒนธรรมของชาวจีน และคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ตัวละคร หลีสั่วเหลียน (ฟ่าน ปิงปิง) จากเรื่อง I am not Madame Bovary หรือ Wo Bu Shi Pan Jin Lian (ชื่อไทย : อย่าคิดหลอกเจ้) จะไม่พอใจที่จะถูกเรียกแทนด้วยชื่อนี้
เรื่องราวทั้งหมดได้เริ่มต้นขึ้นที่ หลีสั่วเสี้ยน และสามีของเธอ ได้ตกลงกันที่จะหย่ากันแบบหลอกๆ เพื่อที่จะได้สิทธิ์ในการครอบครองห้องพักจากรัฐบาลสำหรับคนโสด 2 ห้อง แล้วจึงค่อยกลับมาแต่งงานกันใหม่ เพื่อรักษาสิทธิ์ห้องพักของทั้ง 2 คนไว้ แต่ทว่าเรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะเมื่อเวลาผ่านไปได้เพียงแค่ 3 เดือน สามีของเธอก็ได้แต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ และได้ปฏิเสธที่จะยอมรับว่าการหย่าร้างนั้นไม่เป็นความจริง ทำให้ หลีสั่วเสี้ยน โกรธแค้น และหวังที่จะเรียกร้องความเป็นธรรม
ถึงแม้ว่า หลีสั่วเสี้ยน จะพยายามที่จะไปฟ้องร้องและเรียกร้องสิทธิ์ตามขั้นตอนต่างๆ แต่ก็สร้างความหนักใจให้กับผู้ที่รับเรื่องร้องเรียนอยู่ไม่น้อย เนื่องจากว่าเอกสารในการหย่าร้างของเธอนั้นเป็นเอกสารทางราชการที่ได้ผ่านการเซ็นต์ยินยอมของทั้งสองมาอย่างครบถ้วน แล้วในเมื่อจะมาเรียกร้องทีหลังว่านั่นเป็นเพียงการหย่าร้างปลอมๆ ก็คงจะหาอะไรมายืนยันได้ยาก ซึ่งนั่นจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ หลีสั่วเสี้ยน นั้นเคียดแค้นและต้องทนทุกข์กับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จนทำให้เธอนั้น ตัดสินใจที่จะฟ้องร้องทุกคนที่เกี่ยวข้อง เป็นเวลา 10 ปี และได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้าหนี้ที่รัฐ ทั้งในระดับล่างไปจนถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงเป็นจำนวนมาก
I Am Not Madame Bovary หรือ อย่าคิดหลอกเจ้ เป็นภาพยนตร์ตลกร้ายเสียดสีสังคมและการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ ของผู้กำกับ เฝิงเสี่ยวกัง (A World Without Thieves – 2004) ที่คว้ารางวัลใหญ่จาก Asian Film Award มาถึง 3 รางวัล ซึ่งได้รวมไปถึงรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยม ไว้ด้วย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ ได้ถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเฟรมที่เป็นวงกลม และสี่เหลี่ยมจัตุรัส ที่เป็นรูปทรงยอดนิยมของภาพจิตรกรรมจีน รวมไปถึงความรู้สึกของบุคคลที่ 3 ที่ได้เฝ้ามองและติดตามเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น อีกทั้งยังได้แทรกข้อคิดและประโยคดีๆไว้ในเรื่องไว้อย่างมากมาย จนสามารถยกย่องได้ว่านี่คือภาพยนตร์ตลกร้ายที่ดี และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆ
ความเชื่อของตัวละคร “พันจินเหลียน” ที่ถูกประนามว่าเป็นสตรีแพศยาแห่งวรรณกรรมจีนนั้น ได้ถูกนำมาตีความหมายใหม่ในยุคหลังๆ เพราะเมื่อได้ลองมองลงไปที่ชีวิตและจิตใจของตัวละครตัวนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ก็จะพบว่าชีวิตของเธอนั้นไม่เคยได้พบกับสิ่งที่เธอได้หวังไว้เลย ไม่ว่าจะเป็นการถูกกลั่นแกล้ง และบังคับให้เธอแต่งงานกับคนอัปลักษณ์ที่เธอไม่ชอบ เพื่อทำให้เธอรู้สึกถึงความต้อยต่ำ แถมยังไม่เคยทำให้เธอได้รับในสิ่งที่เธอพึงจะได้ ให้สมกับชีวิตของคนหนึ่งคน ที่มีสิทธิ์เรียกหาสิ่งที่ชีวิตของเธอพึงพอใจ และเมื่อเธอได้เรียกร้องหามัน เธอก็กลับถูกประนามว่าเธอคือสตรีที่ชั่วร้าย ทั้งๆที่กรอบที่ทุกคนวางไว้ ไม่เคยเป็นสิ่งที่เธอต้องการเลย ซึ่งข้อคิดนี้ เมื่อได้ผ่านกาลเวลามาหลายยุคสมัย ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมและความเหลื่อมล้ำของสิทธิ์สตรีในยุคสมัยก่อน ที่โทษของสตรีที่คบชู้และนอกใจสามีนั้นเลวร้ายและรุนแรง จนแทบจะไม่มิทธิ์ที่จะได้ถูกพิจารณาในมุมมองอื่นของชีวิต จนทำให้ต่อมา บทละครงิ้วเรื่อง “หวู่ซงฆ่าพี่สะใภ้” ได้มีการเพิ่มประโยคพูดของ พันจินเหลียน เข้าไป ซึ่งเป็นประโยคที่เธอพูดออกมาก่อนที่จะถูกหวู่ซ่ง น้องชายของสามีที่เธอแอบรักนั้นฆ่า ด้วยการควักเอาหัวใจของเธอออกมาดู ว่าทำด้วยอะไร โดยเธอได้ตะโกนตอบความสงสัยของหวู่ซงว่า
“หัวใจของข้านี่แหล่ะ ที่เป็นก้อนเลือดก้อนเนื้อที่แท้จริง ไม่เหมือนกับหัวใจของวีรบุรุษอย่างท่าน ที่เป็นก้อนหินดีๆนี่เอง”
ซึ่งเป็นประโยคที่สะท้อนถึงใจเราทุกคน ว่าเราได้ใช้หัวใจหินของเราตัดสินใจใครหรือไม่ และถ้าใช่ ก็คงจะไม่ต่างอะไรกับภาพลักษณะทรงกลม ที่เรามองและตัดสิน หลีสั่วเหลียน จากที่ไกลๆด้วยเช่นกัน