ทำไมมนุษย์ถึงอยากไปดาวอังคาร ?
นั่นอาจเป็นเพราะว่ามนุษย์เราไม่ได้ลงไปเหยียบบนพื้นดาวเคราะห์ดวงใหม่ ตั้งแต่การไปถึงดวงจันทร์ของNeil Armstrong และ Buzz Aldrin กับโครงการ Apollo 11 ในปี 1969 ทำให้ช่วงเวลาที่ผ่านมา วิทยาการทางด้านอวกาศจึงเป็นเพียงการสำรวจและวิเคราะห์โดยปราศจากการไปเยือนโดยมนุษย์ และทำให้ “ดาวอังคาร” กลายเป็นเป้าหมายต่อไป ในการก้าวผ่านขีดจำกัดของวิทยาการ และเป็นการเปิดบันทึกหน้าใหม่ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่สามารถขึ้นไปตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงอื่นได้
ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า ทำไมถึงต้องเป็นดาวอังคาร ?
คำตอบก็คือ ดาวอังคาร คือดาวเคราะห์ดวงถัดไปที่วิทยาการของเราจะสามารถพามนุษย์ไปตั้งรกรากที่นั่นได้ ด้วยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า บนดาวอังคารนั้นเคยมีชั้นบรรยากาศในแบบเดียวกับบนโลกเมื่อหลายพันล้านปีมาแล้ว และถึงแม้ว่าอากาศบนนั้นจะร้อนจัดและไม่สามารถหายใจเข้าไปได้ แต่ก็มีแนวโน้มที่ว่ามนุษย์จะสามารถใช้ถ้ำบนดาวอังคารเพื่ออยู่อาศัย และหลบซ่อนตัวจากรังสีอันตรายต่างๆ ไปพร้อมๆกับการสังเคราะห์หรือหาน้ำมาใช้ และเก็บเกี่ยวแร่ธาตุใหม่ๆ จากที่นั่น เพื่อใช้ค้นคว้าและวิจัย สำหรับวิทยาการใหม่ๆ ของมนุษย์
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์เราเริ่มที่จะสำรวจอวกาศ เพื่อความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการของมนุษย์ แต่แท้ที่จริงแล้ว เราต่างต้องการให้นำวิทยาการต่างๆ กลับมาเพื่อพัฒนาคุณภาพของชีวิตมนุษย์ เพื่อให้เราต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีทางเลือกสำรอง เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของเราต่อไปในอนาคต เช่นเดียวกันกับโครงการส่งคนไปดาวอังคารของบริษัท Genesis ในภาพยนตร์เรื่อง The Space Between Us
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกของวัยรุ่น ที่นำเสนอเรื่องราวของ Gardner Elliot (Asa Butterfield) ชายหนุ่มผู้เกิดบนดาวอังคาร และใช้ชีวิตอยู่กับนักวิทยาศาสตร์ 16 คนที่นั่น ซึ่งในแต่ละวันของเขานั้น ช่างซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อหน่าย แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความสุขได้บ้าง คือการได้คุยโต้ตอบกันกับเพื่อนสาวบนโลกของเขา Tulsa (Britt Robertson) ที่ได้คุยกันผ่านโปรแกรมแชท และทำให้เขาอยากที่จะกลับไปยังโลก เพื่อได้เจอคนที่เขารัก และเพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสไปค้นหาคำตอบเกี่ยวกับพ่อของเขา ด้วยตัวของเขาเอง โดยต้องผ่านอุปสรรคของร่างกาย ที่สภาพร่างกายของเขานั้นเติบโตบนดาวอังคาร ทำให้กระดูกและอวัยวะภายในไม่เคยได้รองรับแรงโน้มถ่วงของโลกมาก่อน และถ้าหากว่าเขาฝืนที่จะมาที่โลก นั่นอาจทำให้เขาต้องเสี่ยงกับการสูญเสียชีวิตของตนเองได้
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เราต่างรู้ดีว่าการกระทำทุกอย่างของมนุษย์นั้น มักที่จะโคจรหมุนเวียนรอบความรัก ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการเข้าร่วมรบในสงคราม หรือแม้แต่การเขียนบทกวี เพื่อบรรยายความงดงามของอะไรบางอย่าง เราก็ต่างทำเพียงเพื่อความรักทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเป็นที่รู้ดีว่า พลังแห่งความรัก คือแรงขับเคลื่อนพื้นฐานของมนุษย์ และเป็นไปได้ยากที่จะหยุดยั้งการกระทำของมนุษย์คนนั้น หากว่าเขาคนนั้นกำลังมีความรักอยู่เต็มหัวใจ และนั่นจึงทำให้ The Space Between Us เป็นเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่หัวใจเปี่ยมไปด้วยความรัก ยอมที่จะเสี่ยงชีวิตตัวเอง เพื่อมาพบและตามหาคนที่เขารักบนโลกมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของความรักของเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียง 16 ปี และเป็นความรักในสไตล์ puppy love ที่อาจดูไม่สมเหตุสมผลหรือมีความลึกซึ้งสักเท่าไหร่นัก ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเป็นเพียงภาพยนตร์ที่อ้างอิงหลักการทางวิทยาศาสตร์น้อยๆ และเป็นเรื่องราวความรักที่ไม่คิดอะไรมาก และสามารถดูเพื่อความบันเทิงแบบไม่คาดหวังอะไรเท่านั้น
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าก้าวต่อไปของวิทยาการทางอวกาศจะเกิดขึ้นในอีก 10 ปี หรือว่าในอีก 100 ปีข้างหน้า ซึ่งเราเองอาจไม่มีโอกาสได้อยู่ดู ในวันที่มนุษยชาติได้อพยพไปตั้งรกรากบนดาวดวงใหม่ แต่เราก็เชื่อว่า มนุษยชาติจะสามารถมองย้อนกลับมาได้ว่า วิทยาการต่างๆ ที่ส่งผลมาให้เขาได้ก้าวมาสู่ยุคปัจจุบันนั้นๆ ต่างล้วนเกิดจากความรักทั้งสิ้น ซึ่งก็คือความรักที่เราอยากจะเห็นลูกหลานเหลนของเรา ได้ขยายอาณาเขตที่อยู่อาศัย และส่งต่อความรักไปสู่จักรวาลที่ไร้พรมแดน