ล่าแสงเหนือ | ภารกิจล่าฝันกับประสบการณ์ที่หาซื้อไม่ได้

“ไม่ต้องเที่ยวให้แพงที่สุด แต่ขอให้หลุดจากโลกใบเดิมก็พอ” – ประโยคบอกเล่าจากหน้าคำ (แนะ) นำของแพทย์ที่ชวนให้เราอยากก้าวเข้าไปสัมผัสโลกอีกใบที่เหล่าคุณหมอได้เดินทางไปค้นพบ

ใครจะรู้หนังสือปกเขียวๆ ที่เล่นลายกราฟฟิกซึ่งเห็นอยู่นี้คือไกด์บุ๊คดีๆ ของคนมีความฝันที่กล้าออกเดินทางเพื่อพิชิตฝันนั้น แม้ปกหนังสือจะชวนให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นหนังสือเชิงวิชาการ แต่พอเหลือบไปเห็นชื่อผู้เขียน “หมอๆ ตะลุยโลก” ก็การันตีความสนุกตั้งแต่ยังไม่เปิดอ่านแล้ว …คุณว่าจริงไหม!

หลายคนคงสงสัยว่าหมอๆ ตะลุยโลกเป็นใคร? เราขอนิยามเจ้าของนามปากกานี้ว่า ‘นักเดินทางที่กล้าจะก้าวออกเดินตามฝัน’ พวกเขาเป็นนักผจญภัยที่ออกเดินทางกว่าครึ่งซีกโลกมาแล้ว พร้อมกับนำความประทับใจและประสบการณ์ทั้งดีและเลวร้ายของการเดินทางมาเล่าสู่กันฟัง ผ่านตัวอักษรและภาพถ่ายในหนังสือ “ทริปในฝัน 41 วันครึ่งซีกโลก จุดเริ่มต้นบนรถไฟทรานส์ – ไซบีเรีย” กับ “ทริปในฝัน 41 วันครึ่งซีกโลก สุดรางปลายทางยุโรป” และพวกเขายังเป็นนักเดินทางที่เขียนหนังสือได้สนุกที่สุดคู่หนึ่งอีกด้วย

“…สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมกลัวว่าการลงทุนครั้งนี้อาจล้มเหลว นั่นคือการไม่ได้เจอแสงเหนือแม้แต่คืนเดียว แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าความล้มเหลวครั้งนี้ก็คือการไม่กล้าที่จะเริ่มทำอะไรเลยเสียมากกว่า” – หน้า 8

 

หมอๆ ตะลุยโลก เป็นนามปากกาของ “หมอวินและหมอโจ้” นักศึกษาแพทย์ที่มีความฝันหลังเรียนจบหมอว่าอยากเดินทางข้ามทวีปด้วยรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย โดยพวกเขาเริ่มออกเดินทางตามฝันกันในปี 2012 และ 2 ปีต่อมา (2014) หลังจากการเปิดประสบการณ์จากจีนไปจนถึงสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาก็ได้ออกเดินทางอีกครั้ง

โดยครั้งนี้หมอวินและหมอโจ้จะพาเราไปตะลุยดินแดนที่ปกคลุมด้วยหิมะและความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอย่าง ‘ไอซ์แลนด์’ กับภารกิจ “ล่าแสงเหนือ” ภารกิจที่มาพร้อมความเสี่ยงที่คุ้มแสนคุ้ม และพวกเขายังพาเราไปแวะเที่ยวชมเมืองกันที่ ‘นอร์เวย์’ และ ‘ฟินแลนด์’ โดยมีเดอะแก๊งร่วมทีมเป็นเหล่าคุณหมอเพิ่มมาอีก 3 ท่านจนกลายเป็นดรีมทีมที่ช่วยกันทำฝันให้เป็นจริงในระยะเวลา 17 วันกับเงินในกระเป๋าคนละ 73,670 บาท

 

…ภารกิจล่าแสงเหนือครั้งนี้จะสนุกแค่ไหน คงต้องให้คุณผู้อ่านไปเผชิญด้วยตัวเอง แต่เหตุผลที่เราหยิบหนังสือเล่มนี้มานำเสนอคุณผู้อ่านนั้น เป็นเพราะเราอยากให้คุณได้เปิดประสบการณ์ใหม่ผ่านตัวอักษรที่เรียงรายเป็นหน้ากระดาษเหมือนกับที่เราได้สัมผัสมาด้วยตัวเอง เป็นประสบการณ์ที่จะทำให้คุณประทับใจจนอยากบอกต่อ

ความสนุกของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพสวยๆ กับข้อมูลแน่นๆ ที่ช่วยให้เราเดินตามรอยได้เท่านั้น เพราะไกด์บุ๊คเล่มไหนก็ให้เราได้ แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้เราได้เปิดประสบการณ์ที่แสนสนุก เสมือนได้เดินทางไปล่าแสงเหนือพร้อมกับหมอวินและหมอโจ้ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องที่หมอวินและหมอโจ้หยิบยกมาเล่าให้เราได้อ่านนั้น ล้วนเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละวัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของทริปล่าแสงเหนือ อุปสรรคต่างๆ ที่ต้องเผชิญ ความผิดหวังที่ต้องยอมรับ และประสบการณ์ที่เกินกว่าจะคาดคิด ฯลฯ นั่นเพราะหนังสือเล่มนี้เสมือนไดอารี่ของนักเดินทาง จึงไม่แปลกหากเราจะเกิดอารมณ์ร่วมไปกับพวกเขาด้วย

“…แต่ไม่ใช่เพราะความหวังหรอกเหรอที่ทำให้เรามีพลังมาถึงที่นี่ได้ เพราะเราหวัง เราถึงมีพลัง หากไม่คาดหวัง พลังย่อมไม่มี” – หน้า 52

แน่นอนว่าไม่เพียงแต่การเล่าเรื่องที่ชวนให้เราสนุกและมีอารมณ์ร่วมเท่านั้น แต่หมอๆ ตะลุยโลกยังมีกลวิธีการเล่าที่ชวนติดตาม ไม่ว่าจะเป็นความเกรียนที่ชวนอมยิ้มและข้อคิดดีๆ ที่กระแทกใจเราอย่างจัง ซึ่งข้อคิดดีๆ ที่คุณหมอได้สอดแทรกไว้ ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นมากกว่าไกด์บุ๊ค อาทิ ตอน‘พิชิตถ้ำน้ำแข็ง’ ที่เหล่าคุณหมอเดินทางไปเยี่ยมชมถ้ำน้ำแข็งที่ได้เห็นจากภาพถ่ายว่าสวยงามแค่ไหน พวกเขาจึงพร้อมใจเสียค่า Local Guide ไปคนละ 3,500 บาท แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวัง เมื่อความเป็นจริงกับความคาดหวังมันสวนทางกัน

“กิจกรรมเข้าถ้ำจบไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครบอกได้ว่าค่าทัวร์ครั้งนี้คุ้มมั้ย แต่ที่แน่ๆ ผมได้เรียนรู้อีกครั้งว่า การตั้งความหวังไว้สูง พอไม่ได้อย่างที่หวัง ความผิดหวังย่อมมาก แต่ไม่ใช่เพราะความหวังหรอกเหรอที่ทำให้เรามีพลังมาถึงที่นี่ได้ เพราะเราหวัง เราถึงมีพลัง หากไม่คาดหวัง พลังย่อมไม่มี...” – ในหน้า 52

“…ในความโชคร้าย บางทีมันก็มีความโชคดีซ่อนอยู่… ซึ่งคนที่จะมองหามันเจอไม่ใช่ใคร นอกจากตัวเราเองนี่ละ” – หน้า 98

หรือตอนท้ายของเล่ม ‘สุขที่สุดคือไอซ์แลนด์’ ที่คุณหมอได้เขียนเล่าถึงบทสรุปของการเดินทางไปง่าแสงเหนือทริปนี้ไว้ว่า…

“การเดินทางอาจทำให้เราต้องเสียเงิน อันนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ผลลัพธ์ของการเดินทางอาจส่งผลต่อชีวิตอย่างคาดไม่ถึง คำว่าแสงเหนือเป็นแค่สิ่งที่ดึงดูดให้ผมมาที่นี่ แต่สิ่งที่มันอยู่ใต้แสงเหนือลงมาที่พื้นดินนี่สิคือของจริง ชีวิตคนเราจะเกิดการพัฒนาได้ต่อเมื่อประสบการณ์เรามากขึ้น ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครบ้าพอที่จะออกเดินทางรอบโลกในอดีตหรอก จริงไหมครับ

เราไม่มีวันรู้ว่าเราขาดอะไร ถ้าเราไม่เคยเห็นสิ่งที่เราไม่มี เราไม่มีวันรู้ว่าเรามีอะไรมากไป ถ้าเราไม่เคยเห็นคนที่ขาดเหลืออะไรมาก่อน น้ำครั้งแก้วที่อยู่ในแก้ว จะมองว่าเหลือแค่ครึ่งแก้ว หรือจะมองว่ามีอยู่ตั้งครึ่งแก้ว ไม่มีอะไรผิดหรืออะไรถูกแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเราเลือกมุมไหน การเดินทางทำให้ความคิดผมก้าวหน้าไปในทุกๆ ก้าวที่ผมเดินผ่านไป” – หน้า 179

… และนี่คือความสนุกของหนังสือเล่มนี้ที่เราอยากบอกต่อ แล้วคุณล่ะคิดว่าอย่างไร?

 

หนังสือ : ล่าแสงเหนือ
โดย : หมอๆ ตะลุยโลก
สำนักพิมพ์ : Amarin Travel
ราคา : 325

Story : Taliw
Photo : Wara Suttiwan
© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.