การกลับมาในเจนเนอเรชั่นที่ 10 ของ Honda Civic ที่นักเลงรถทั้งหลายเฝ้าจับตา รถยนต์รุ่นที่เป็นตำนานกับ 40 ปีฮอนด้า พร้อมรูปลักษณ์และเทคโนโลยีที่ก้าวข้ามข้อจำกัดใดๆ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่เจนเนอเรชั่นแต่ซีวิค ยังคงเป็นผู้นำที่ครองใจ ทำให้วันนี้ Favforward ขอพาย้อนกลับไปดูตำนานทั้ง 10 เจนเนอเรชั่นที่ทำให้ซีวิคยังคงเป็นรุ่นอมตะที่ใครๆ อยากครอบครอง
Generation 1st
รูปทรงคลาสสิกสองประตูกับการเปิดตัวครั้งแรกในปี 1972 ย้อนกลับไปก่อนที่ Honda จะเปิดตัว Civic ผู้คนต่างรู้จักฮอนด้าในฐานะผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์รายใหญ่ ประจวบเหมาะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤติน้ำมันเชื้อเพลิง ทำให้กระแสความต้องการรถที่ประหยัดเชื้อเพลิงเป็นที่ต้องการของตลาด Civic จึงรบรุกตลาดด้วยการเปิดตัวรุ่นแรกใช้พละกำลังจากเครื่องยนต์ 4 สูบ 1,169 ซีซี กำลังสูงสุด 50 แรงม้า พร้อมด้วยจุดเด่นด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงในระดับ 17 กม./ลิตร ระบบส่งกำลังเกียร์ 4 จังหวะ โดยยังคงมีจุดขายที่ความกะทัดรัดและคล่องตัว
Generation 2nd
เมื่อได้รับความนิยมในเจนแรก ก่อนจะเปลี่ยนสู่โมเดลที่ 2 รหัส SL ถูกเปิดตัวในปี 1979 มีพื้นฐานไม่แตกต่างจากรุ่นแรกเท่าไรนัก โดยในโมเดลนี้จะไม่มีตัวถังแบบ 2 ประตูเหมือนกับโมเดลแรก มาพร้อมกับขุมพลังตัวถังขนาด 1.3 และ 1.5 ลิตร ที่ให้แรงม้า 55 กับ 67 แรงม้า พร้อมระบบเกียร์ที่มีการพัฒนามาเป็นแบบ 3 สปีด และยังมีแบบ 2 สปีดเหมือนเดิมให้เลือก ไม่น่าเชื่อว่าในสมัยนั้น ฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ จะเริ่มทันสมัย อาทิ กระจกหลังพร้อมไล่ฝ้า ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา และที่จุดบุหรี่ ส่วนรุ่น 1500 เพิ่มคุณภาพด้วยที่ปัดน้ำฝนหลังพร้อมที่ฉีดน้ำ มาตรวัดรอบ และนาฬิกาที่ยังไม่ค่อยพบในรถรุ่นใดๆ ในสมัยนั้นเท่าไรนัก
Generation 3rd
ถัดมาแค่ 5 ปี Civic เจเนอเรชั่นที่ 3 ก็ถือกำเนิดขึ้น รูปทรงเริ่มขยับขยายตอบโจทย์ด้านที่นั่งมากขึ้น เรื่องการออกแบบที่ดูลงตัวมากยิ่งขึ้น เส้นสายหลังคายาวถือว่าล้ำยุคมากในช่วงนั้น เป็นรุ่น 5 ประตู Shuttle Wagon หรือ Wagonvan ทำให้มันได้รับรางวัลรถยอดเยี่ยมแห่งปี 1984 ในประเทศญี่ปุ่น ส่วนทางฝั่งอเมริการถรุ่นนี้ก็ขึ้นชื่อว่า “ใช้น้ำมันอย่างคุ้มค่า” จากการทดสอบของ Environmental Protection Agency หรือ EPA
Generation 4th
Civic Gen 4 ที่รู้จักกันในนามรุ่นเตารีดและเริ่มมีเข้ามามีบทบาทในไทย นักเลงรถทั้งหลายเริ่มเทใจให้ Civic รุ่นนี้ เพราะมีความคล้ายคลึงกับรถคลาสสิกรุ่นเก๋า เป็นรถรุ่นหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่าทนทาน ดูแลรักษาง่าย ทำให้ปัจจุบันแม้จะผ่านไปกว่า 20 ปี เราก็ยังพอจะเห็นรถรุ่นนี้วิ่งอยู่บนถนน ในสภาพดี เจนเนอเรชั่นที่ 4 มีรหัสตัวถัง EC, ED, EE และ EF ตัวถังได้รับการออกแบบให้มีความลู่ลม และมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม เพิ่มพื้นที่กระจกเพื่อให้โปร่งโล่งเปลี่ยนระบบกันสะเทือนเป็นปีกนก 2 ชั้นทั้ง 4 ล้อ โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งสูตร 1 ให้การขับที่ฉับไว และสะดวกสบาย มีความแม่นยำในการบังคับควบคุม
Generation 5th
ความฮอตของฮอนด้าทยานสู่จุดพีคขึ้นเรื่อยๆ เรียกเสียงฮือฮาเมื่อ Gen ที่5 ออกแบบรูปลักษณ์ 3 ประตู จากเส้นสายเหลี่ยมคมปรับแต่งให้ดูอ่อนโยนขึ้นเป็นความโค้งมน เริ่มแรกเปิดตัวด้วย 4 ประตูแบบซีดาน แต่ต่อมาไม่นานเผยเวอร์ชั่น 3 ประตู ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีรถรูปทรงนี้สักเท่าไร รุ่นนี้เป็นที่รู้จักเรียกกันง่ายๆ ว่า “3 Doors” เพิ่มดีไซน์ทรงสปอร์ตและราคายังสูงเป็นที่ต้องการของตลาด ปัจจุบันถูกนำมาปรับแต่งให้เท่และดูเข้ากับสมัยด้วยชุดแต่งรุ่นใหม่ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ที่ฮอนด้าชูเด่นมาในสมัยนั้น มีการเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเดิมที่เป็นคาร์บูเรเตอร์สู่หัวฉีด โดยใช้ตัวอักษรย่อ I ในการแทนรุ่นหัวฉีด ต่อจากอักษรย่อของรุ่น เช่น LXi Exi ซึ่งถ้าไม่มีหมายถึงรถเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์แบบเดิม
Generation 6th
เพราะความนิยมของ Civic นั้นเริ่มสร้างกระแสจนต้องเอ่ยชื่อฉายาของแต่ละ Gen ให้เข้าใจ ปี 1996 ฮอนด้า”ตาโต” หรือเจนเนอเรชั่นที่ 6 ถูกออกแบบให้ตอบสนองความทันสมัยยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้าที่กลมโตจึงกลายเป็นที่มาของ ซีวิคตาโต นอกจากเรือนร่างที่ปรับแต่งใหม่ ซีวิคยังพาเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร และเริ่มลดการผลิตเครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ออกไปจนกลายมาเป็นเครื่องยนต์แบบหัวฉีดทั้งหมด
Generation 7th
ก้าวเข้าสู่ปี 2000 รูปลักษณ์เริ่มเข้าสู่สมัยนิยมหรือรถตลาดมากขึ้น รถรุ่นนี้เป็นหนึ่งในรถรุ่นแรกๆ ในตลาดบ้านเราที่นำหลักอากาศพลศาสตร์เข้ามาใช้ในการสร้างสรรค์ตัวถังเป็นการปรับวิถีการออกแบบรถยนต์ในยุคนั้น จึงเป็นที่มาของการเรียกรถรุ่นนี้ว่า “ไดเมนชั่น” และเป็น ซีวิครุ่นสุดท้ายที่มีเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด ในช่วงปี 2004 มีการปรับเปลี่ยนแบบไมเนอร์เชนจ์ ปรับให้เส้นสายตัวถังคมขึ้น ใบหน้าดูโฉบเฉี่ยวขึ้น ทำให้บางคนเรียกรถรุ่นนี้ว่า “ตาเหยี่ยว” สังเกตได้จากที่หน้าและไฟท้ายของตัวรถ ที่แตกต่างเล็กน้อย และในรุ่นนี้มีการแนะนำเครื่องยนต์ขนาด 1.7 ลิตร เข้ามาเป็นพื้นฐานใหม่ พร้อมกับการแนะนำเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร VTEC เข้ามา
Generation 8th
ความนิยมในตัวซีวิคไม่เคยลดลง ในขณะเดียวกันยิ่งทวีความสวยงามในรูปลักษณ์ การกลับมาอีกครั้งแบบยกเครื่องใหม่หมด ด้วยสโลแกน “Rising spirit” และได้รับความสนใจมาก ด้วยทรวดทรงที่ล้ำสมัยมากเหนือคู่แข่ง มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตร รวมถึงภายในทันสมัย มีการแนะนำไมล์เรืองแสงแบบ 2 ชั้น พร้อมวัดความเร็วแบบดิจิตอลมาใช้ ซีวิครุ่นนี้ทลายยอดขายในทุกๆ รุ่นที่ผ่านมาเป็นหนึ่งในรถที่ขายดีทั่วโลก ก่อนที่จะมีการปรับปรุงรถรุ่นนี้ โดยเพิ่มความสามารถให้ตอบรับความประหยัดน้ำมันสามารถใช้น้ำมัน E20 ตามนโยบายของ Honda จากภาวะราคาน้ำมันที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นก่อนที่จะปรับหน้าตาและมีเวอร์ชั่นไฟท้าย โดนัทแบบ LED ออกมา
Generation 9th
ในช่วงปี 2013 – 2014 ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบคเริ่มลุกทำตลาดมากขึ้น แต่ซีวิคยังคงยึดมั่นในการทำ 4 ประตูซีดานพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1.8 และ 2.0 ลิตรเช่นเดิม ภายใต้สโลแกน Progressive soul สู่ตัวตนแห่งความสมบูรณ์แบบ โดยครั้งนี้ Honda ตอบรับสมรรถนะความประหยัด ให้ซีวิคใหม่สามารถรองรับน้ำมัน E85 ได้พร้อมโหมดการขับขี่แบบประหยัด Econ Mode และระบบ Eco Assist ถึงแม้ช่วงที่ซีวิคเจน 9 ออกมาจะตรงกับภาวการณ์ประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่และแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น แต่ทว่าฮอนด้าก็ยังให้ความเชื่อมั่นกับผู้บริโภคในการทำลายรถที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด และเตรียมกลับมาครองบัลลังก์ตลาดรถกลุ่มนี้อีกครั้งในเจน 10
Generation 10th
เจเนอเรชั่นล่าสุดที่ทุกคนตั้งตารอ ก้าวข้ามทุกข้อจำกัดสู่ที่สุดของความเป็นซีวิคภายใต้แนวคิดการออกแบบ “Creating a way of life” โดดเด่นด้วยดีไซน์ภายนอกดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยวขึ้น ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่ในตอนกลางวันแบบ LED โดยเฉพาะไฟท้ายรูปทรง C ที่ดูสมูธไปกับตัวถัง เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ซีวิคอัดเข้าไปเต็มกำลัง คุณสามารถสตาร์ทวอร์มเครื่องยนต์พร้อมปรับอุณหภูมิห้องโดยสารให้เย็นสบายก่อนออกเดินทางด้วยกุญแจรีโมท สั่งการได้จากระยะไกล ไร้กังวลเรื่องการโจรกรรมเพราะขณะเครื่องยนต์สตาร์ทติดอยู่ ประตูจะยังคงล็อกเช่นเดิมและรถจะไม่อยู่ในสถานะพร้อมออกตัว จนกว่ากุญแจรีโมทและผู้ขับขี่จะนั่งโดยสารภายในรถและกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่อีกครั้ง นอกจากขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร คราวนี้ยังตอบโจทย์นักซิ่งด้วยขนาดใหม่ 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO ใหม่ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที ซึ่งให้กำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตรแต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร และที่เห็นจะพิเศษกว่ารุ่นใดๆ คือฟังก์ชั่นแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน ที่ช่วยลดจุดบอดในการมองข้างด้านซ้าย โดยใช้กล้องจับภาพและแสดงผลผ่านหน้าจอขนาด 7 นิ้ว
10 เจเนอเรชั่นที่ผ่านกับการตอกย้ำความเป็นผู้นำสมรรถนะความคุ้มค่าคอมแพคคาร์ การันตีความอมตะกับ 40 ปีที่ไม่มีใครลบภาพซีวิคออกไปจากใจ แนวคิด การออกแบบและเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ทำให้ซีวิคกลายเป็นหนึ่งในยนตกรรมชิ้นเอกที่ทุกคนเฝ้ารอ