“นาฬิกา” จากแอร์เมส (Hermes) เป็นอีกหนึ่งผลงานที่รังสรรค์ขึ้นจากความเชี่ยวชาญที่หาตัวจับยาก ความกดดันโดยธรรมชาติของมันได้ผ่านการตีความสู่ลักษณะเฉพาะตัว นอกเหนือจากการบอกเวลา จัดลำดับ และค้นหาวิธีที่จะควบคุมมันแล้ว แอร์เมสยังกล้าที่จะมองหาเวลาแบบใหม่ๆ ที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นความรู้สึก กล้าที่จะหยุดเว้นจังหวะ และเปิดพื้นที่สำหรับความเป็นธรรมชาติและการผ่อนคลาย
ดังนั้นนาฬิกาจากแอร์เมสจึงมาพร้อมความพิเศษ ทั้งในแง่คอนเซ็ปต์ ดีไซน์ และการบอกเวลา วันนี้เราจึงรวม 8 เรือนเวลาที่เป็นที่สุดของแอร์เมสมาให้ชม
หนึ่งในเอกลักษณ์ที่แข็งแกร่งและชัดเจนจากแอร์เมส ผลงานการออกแบบอันเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ของฟิลิปป์ มูเกต์ ดีไซเนอร์ฝีมือฉกาจที่รังสรรค์ขึ้นในปี 1996
Heure H เรือนนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องบอกเวลา แต่เป็นสัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดถึงพลัง ความมีชีวิตชีวาและความสดใสด้วยความคิดที่ไม่เหมือนใคร ที่เก็บเอาห้วงเวลามาแทรกไว้ในตัวอักขระ คอนเซ็ปต์ที่ชัดเจน สื่อถึงความซุกซนและความมั่นใจที่เนรมิตการเคลื่อนขยับของห้วงเวลาให้เป็นรูปเป็นร่าง
ความพิเศษของ Heure H อยู่ที่สไตล์การออกแบบที่ไม่ได้เดินตามแนวทางเดิมๆ ตัวเรือนให้ความรู้สึกของความฮึกเหิม แฝงความสนุกสนานของการเป็นเพื่อนคู่กาย กรอบตัวอักษร H ผ่านการเคลือบเงาเป็นสีดำและสีขาว ส่วนหน้าปัดสีดำหรือสีขาวที่เป็นเงาวาวก็ผ่านการเคลือบเงาเช่นเดียวกัน ในกรณีนี้จะเป็นการเคลือบเงาโปร่งแสง เพื่อเน้นให้สีที่ฉาบทับไว้นั้นแจ่มชัดยิ่งขึ้น และแล้วเรือนเวลา Heure H ก็เผยถึงการผสมผสานสไตล์ที่ซ่อนความแข็งแกร่งและความเคร่งครัดทางเทคนิคออกมากอย่างชัดเจน รวมถึงลักษณะที่บ่งบอกถึงความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นนิยามแห่งสุนทรียะของคู่ตรงข้าม
เรือนเวลาที่เป็นผลงานสร้างสรรค์ของ Henri d’Origny ที่ได้รังสรรค์คอลเลกชั่นอาร์โซในปี 1978 เขาได้นำเสนอสุนทรียศาสตร์ของเรือนเวลาทรงกลมให้ปรากฏออกมา แต่เพราะความต้องการที่จะหลีกหนีจากนาฬิกาไตล์คลาสสิกแบบเดิมๆ เขาจึงดีไซน์ให้นาฬิกาให้มีหูเป็นแบบอสมมาตร ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากโกลนม้า
ตลอดระยะเวลา 4 ทศวรรษ ตัวเรือนคอลเลกชั่นอาร์โซ กาซาค ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงศิลปะการขี่ม้า เปรียบเหมือนรอยเท้าม้าที่ประทับอยู่บนผืนทราย ลายเส้นรูปม้าขับเน้นพื้นหลังของเรือนเวลาให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ขณะที่หน้าปัดสลักเสลาให้สวยงามด้วยเทคนิคการแกะลายนูน ลงรัก และไล่เฉดสี Arceau casaque มาพร้อมสีที่สว่างสดใสชวนให้นึกถึงม้าหมากรุกบนเกมกระดานสุดคลาสสิกของฝรั่งเศสในสมัยเด็ก สีเหลือง สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน สีไหนกันที่จะเผยความพยศและทะยานเข้าสู่เส้นชัยได้รวดเร็วที่สุด
เรือนเวลาจากคอลเลคชั่นอาร์โซที่ยังคงความโดดเด่นและยังเป็นอีกหนึ่งผลงานการออกแบบของ Henri d’Origny Arceau เช่นเคย เพียงแต่เพิ่มความคลาสสิกผ่านโทนสีขาวและสีดำ โดยยังคงความหรูหราเอาไว้ เป็นเรือนเวลาที่แสดงถึงความขัดแย้งของระเบียบวินัยที่เข้มงวดกับความคิดสร้างสรรค์ ขณะที่หน้าปัดยังโดดเด่นด้วยการสลักเสลาลายเส้นรูปม้าด้วยเทคนิคการแกะลายนูนอย่างชัดเจน
ในปี 1978 อองรี ดอริญีได้รังสรรค์เรือนเวลาคอลเลกชั่นอาร์โซ (Arceau) ขึ้น เขาเลือกที่จะผสานตัวเรือนทรงกลมเข้ากับหูตัวเรือนแบบอสมมาตรซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากโกลนม้า ควบคู่ไปกับตัวเลขอักขระที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นับจากนั้นมา เรือนเวลาคอลเลกชั่นนี้ได้รับการตีความใหม่หลายต่อหลายครั้ง ผ่านการพัฒนาและเพิ่มลูกเล่นต่าง ๆ เพื่อสร้างสรรค์สู่รูปลักษณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทว่ายังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณตั้งแต่ครั้นแรกเริ่มเสมอมา
อาร์โซ โครโน ติตาน ได้รับการออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยวมากขึ้น เป็นนาฬิกาสปอร์ตเรือนหรูที่ให้ความรู้สึกเบาสบายสะดุดตา ตัวเรือนทำจากไทเทเนียมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 41 มม. ขัดแต่งด้วยเทคนิคบีดบลาส (Bead blasting) พร้อมกลไกโครโนกราฟ ตัวเลขที่เอนเอียงให้ความรู้สึกราวกับลู่ไปตามสายลมที่กำลังหยอกล้อ หน้าปัดย่อยบอกเวลาทั้งสามหน้าปัดและวันที่จัดวางไว้อย่างลงตัว
คุณสมบัติด้านสุนทรียศาสตร์อันได้แรงบันดาลใจมาจากการทำอานม้าปรากฎอยู่ในเรือนเวลาทั้ง 2 แบบ ทั้งสายหนังลูกวัวบาเรเนียแบบธรรมชาติและสายหนังลูกวัวบาเรเนียสีดำลายนูน ด้วยเทคนิคการเย็บอานม้าดั้งเดิมที่ใครก็ไม่สามารถเลียนแบบได้นี้เอง เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการสืบทอดคุณค่าด้านความเป็นเลิศเรื่องการทำเครื่องหนังของแอร์เมส
เรือนเวลาหน้าปัดทรงสีเหลี่ยมจัตุรัสเรือนนี้ไม่ใช่นาฬิกาดีไซน์ใหม่ แต่เคยออกมาให้ยลโฉมแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปี 2010 ผลงานการดีไซน์ของ Marc Berthier สำหรับ Carré H รุ่นใหม่นี้ได้ปรับโฉมให้มีตัวเรือนมีขนาดใหญ่ขึ้น 2-3 มิลลิเมตร พร้อมกับใส่ลูกเล่นให้ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขัดเงาและขัดแต่งด้วยเทคนิคไมโครบีดบลาส (Microbead blasting) ขอบตัวเรือนดูนุ่มนวลด้วยดีไซน์โค้ง พร้อมกระจกหน้าปัดนูน ขณะที่หน้าปัดลายกิโยเช่ทำมุมฉาก ส่วนเข็มนาฬิกาและตัวเลขก็โดดเด่นด้วยเหลี่ยมมุม ความพิเศษของ Carré H คือการนำเสนอทฤษฎีแสงที่ลงตัว ซึ่งช่วยขับเน้นรายละเอียดของดีไซน์ให้ฉายชัดเจนยิ่งขึ้น
เรือนเวลาแอร์เมสสืบทอดไอเดีย ‘ความหรูหรา’ ที่ลดทอนความเป็นหลักการลงด้วยความคิดที่แหวกแนว ซึ่งต้องอาศัยความสามารถอันหาญกล้าในการจัดการกับขั้วความต่างทั้ง 2 ด้าน เพื่อสร้างจินตภาพว่า เสียงเพรียกจากเรือนเวลาน่าจะปลุกเร้าอารมณ์ให้เราเกิดความตื่นเต้นได้ และนั่นก็เป็นเจตนาในการรังสรรค์เรือนเวลารุ่น Slim d’Hermès L’heure impatiente (สลิม เดอ แอร์เมส เลอร์ แองปาซิอองต์) ให้มีกลไกซับซ้อนเพื่อให้ผู้สวมใส่ได้ลุ้นรอช่วงเวลาสำคัญที่กำลังใกล้เข้ามา
พิธีการแห่งช่วงเวลาอันแสนหฤหรรษ์จะเกิดขึ้นจากการตั้งหน้าปัดจับเวลา เพื่อตั้งเวลาของกิจกรรมที่เฝ้ารออย่างจดจ่อ ซึ่งกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงสิบสองชั่วโมง โดยก่อนจะถึงเวลานั้นหนึ่งชั่วโมง กลไกของนาฬิกาจะเริ่มทำงาน โดยเข็มนาฬิกาบนหน้าปัดย่อยที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกาจะค่อย ๆ เคลื่อนขยับ กลไกซับซ้อนที่เร้าอารมณ์แห่งการรอคอยที่งวดเข้ามาและขับเน้นความคาดหวังที่เปี่ยมด้วยความสุขสันต์ของผู้สวมใส่นี้ เป็นเครื่องประดับแห่งการทรมานอันแสนสวยงาม ที่จะพาผู้สวมใส่เดินทางไปถึงช่วงเวลาที่เฝ้ารอด้วยเสียงเตือน เครื่องกลไกอันโดดเด่นนี้ถูกออกแบบมาให้เตือนด้วยเสียงอันนุ่มนวลและดังต่อเนื่อง ผ่านการปรับแต่งให้มีแต่ผู้สวมใส่เท่านั้นที่ได้ยิน กลไกซับซ้อนที่มีลูกเล่นไม่เหมือนใครของเรือนเวลา คอลเล็กชั่น Impatient Hour ถือกำเนิดขึ้นจากความสัมพันธ์ที่เป็นดั่งเพื่อนคู่คิด
อีกหนึ่งรุ่นของคอลเลคชั่น Slim d’Hermès ซึ่งเป็นนาฬิกาที่สวยที่สุดสำหรับนักเดินทางทั่วโลก โดย Slim d’Hermès GMT เรือนนี้เพิ่มหน้าปัดสำหรับการบอก GMT หรือเวลามาตรฐานสากล เติมความโดดเด่นด้วยตัวเลขดีไซน์เอกลักษณ์ที่ออกแบบโดย Philippe Apeloig ขณะที่กรอบเรือนเวลาทำจากพัลลาเดียมกับสายหนังจระเข้
เรือนเวลาเคป คอดถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1991 ด้วยแนวคิดนอกกรอบของอองรี ดอริญี ชายผู้ซึ่งได้รับโจทย์ให้ออกแบบนาฬิกาหน้าปัดทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส แต่เขาเองกลับชอบทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้ามากกว่า ด้วยไอเดียสุดแหวกแนวจากการนำสร้อยข้อมือรุ่น “แองเคอร์เชน” อันเป็นเอกลักษณ์ แบ่งออกเป็นสองส่วนและประกอบขึ้นมาเป็นรูปทรงใหม่ กลายเป็นนาฬิกาทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แทรกอยู่ในสี่เหลี่ยมผืนผ้า เรือนเวลาเคป คอด เพิ่มลูกเล่นด้วยสายแบบพันสองรอบให้สัมผัสที่แข็งแกร่ง แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร แฝงความซุกซนกว่าที่เคยเป็นพร้อมเผยความแตกต่างที่เหนือชั้น