อีกไม่กี่วันก็ถึงเทศกาลสำคัญของลูกหลานเชื้อสายมังกรอย่าง ตรุษจีน หรือเทศกาลปีใหม่ของคนจีนกันแล้ว FAVFORWRD ขออิงกระแสจีนๆ กันสักหน่อย วันนี้เราจะพาทุกคนไปเที่ยวชมแลนด์มาร์กสำคัญทั่วมุมโลก ความน่าสนใจอยู่ที่เบื้องหลังที่ผ่านกระบวนการคิดคำนึงถึงฟังก์ชั่นการใช้งาน สภาพแวดล้อม การวางคอนเซ็ปต์ที่ล้ำยุค และสอดแทรกแนวคิดของ ฮวงจุ้ย แบบเนียนๆ ที่ใครหลายคนอาจยังไม่รู้เอาไว้
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับศาสตร์นี้กันก่อน ฮวงจุ้ย เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการปรับพลังงานคนและสถานที่ให้เกิดความสมดุลและกลมกลืนไปกับธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องลมและน้ำ ที่ฟังดูแล้วเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราที่แยกจากกันไม่ออก และไม่ใช่เรื่องงมงายที่หลายคนเคยเข้าใจ จึงไม่น่าแปลกใจว่า หลายๆ มหาวิทยาลัยในสมัยนี้ จึงเปิดสอนศาสตร์นี้ สำหรับในเมืองไทย สถาบันชั้นนำเกี่ยวกับศิลปะและการออกแบบอย่าง มหาวิทยาลัยศิลปากร ก็ได้บรรจุศาสตร์นี้เข้าไปหลักสูตรปริญญาโทของคณะมัณฑนศิลป์ สาขานวัตกรรมการออกแบบและการจัดการโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ อีกด้วย ได้ฟังอย่างนี้แล้ว ต้องเปลี่ยนความคิดกันเสียใหม่แล้วล่ะว่า หลักฮวงจุ้ยเป็นศาสตร์การเรียนรู้ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ อย่างที่หลายคนเคยเข้าใจ
เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว เตรียมตัวออกเดินทางสำรวจและเที่ยวชมกันดีกว่าครับ ตามเรามาดูกันสิว่า แลนด์มาร์กที่ไหนในโลกที่ใช้หลัก ฮวงจุ้ยมาออกแบบกันบ้าง
Sydney Opera House, Australia
เริ่มต้นที่โลกซีกตะวันออก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเมืองไทย อย่างประเทศออสเตรเลีย Sydney Opera House แลนด์มาร์กสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวเดนมาร์กชื่อ ยอร์น อุตซอน (Jørn Utzon) ที่ชนะการประกวดในปีค.ศ. 1957 แต่สร้างกว่าจะแล้วเสร็จก็ปาเข้าไปปีค.ศ. 1973 แล้วล่ะ
โรงอุปรากรซิดนีย์แห่งนี้ มีแนวคิดมาจากเปลือกส้มของพระเจ้าที่ร่วงหล่นลงมาจากฟ้า โดยถูกออกแบบให้มีมุมเหลี่ยมมากมาย ถ้ามองโดยใช้หลักของฮวงจุ้ยแล้ว จะมีลักษณะเป็น ธาตุไฟ จะช่วยส่งเสริมงานศิลปะได้เป็นอย่างดี โดยสถานที่แห่งนี้ได้ถูกจดทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2550
Hongkong Disneyland
ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ ดินแดนแห่งความสนุกของใครหลายๆ คน ตั้งอยู่ทางเหนือของเกาะลันเตา บนชายหาดอ่าวเพนนีส์ (Penny’s Bay) สถานที่แห่งนี้หยิบเอาเทพนิยายของโลกซีกตะวันตกมาเนรมิตบนโลกแห่งความจริง โดยเฉพาะดินแดนมังกรที่ทุกพื้นที่แทบจะใช้หลัก ฮวงจุ้ย และความเชื่อเกี่ยวกับตัวเลขมาออกแบบแทบทั้งสิ้น
เริ่มต้นที่ประตูแต่ละบานจะทำมุม 12 องศา ที่เชื่อว่า จะนำมาเพื่อความเจริญ ห้องบอลรูมของดิสนีย์แลนด์ใช้พื้นที่ทั้งหมด 888 ตรม. ซึ่งวัฒนธรรมจีนถือเลข 8 เป็นเลขนำโชค รวมไปถึงเวลาขึ้น-ลงลิฟต์ เราจะไม่พบหมายเลข 4 เพราะไปพ้องเสียงกับคำว่า “ซี่” ที่แปลว่า ความตาย
Burj Al Arab, Dubai U.A.E
ขยับมาที่ประเทศตะวันออกกลางอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ บุรจญ์อัลอาหรับ โรงแรมสุดหรูของเมืองดูไบ มีความสูงถึง 321 เมตร ถือเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดอันดับที่ 4 ของโลก และเป็นตึกที่มีความสูงเป็นอันดับที่ 57 ของโลก ตึกแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะเทียมที่ถูกถมขึ้นห่างจากชายฝั่งจูไมราบีช 280 เมตร มีโครงสร้างการออกแบบล้ำสมัยเลียนแบบมาจากใบของเรือใบ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของเมืองดูไบ
โดยหลักของฮวงจุ้ยนั้น ตึกนี้ถูกจัดว่าเป็น ธาตุไม้ โดยมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับ ลมและน้ำ โดยได้รับพลังที่ส่งเสริมกันจากสิ่งแวดล้อม คือ มีน้ำล้อมรอบ
City Hall, London UK
ข้ามมาถึงประเทศตะวันตก มหาอำนาจทางฝั่งยุโรป ศาลากลางเมืองลอนดอน แลนด์มาร์กสำคัญของประเทศอังกฤษ ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ. 2002 ถูกออกแบบให้มีลักษณะรูปร่างที่โค้งมน ลดการปะทะกับแสงแดด ในทางออกแบบสามารถช่วยประหยัดพลังงานกว่าตึกทรงสี่เหลี่ยมถึง 25 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้มองจากภายนอกจะดูเหมือนเหรียญกองโตที่กำลังจะพังครืน แต่ตามหลักของฮวงจุ้ยการเลือกใช้โครงสร้างเป็นโลหะ ถือว่าเหมาะอย่างยิ่งกับสิ่งปลูกสร้างของเมืองนี้
Trump Tower, New York USA
ปิดท้ายด้วยตึกระฟ้าแลนด์มาร์กทางฝั่งโลกตะวันตกอย่าง Trump Tower ตึกระฟ้าใจกลางมหานครนิวยอร์ก เป็นตึกสำคัญที่มีชื่อเสียงของ Donald Trump ประธานาธิบดีคนที่ 45 สหรัฐอเมริกา
มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับตึกนี้ว่า แม้แต่ผู้นำสหรัฐอเมริกาคนล่าสุดอย่างทรัมป์ ก็ยังว่าจ้างซินแสหญิงชาวจีนมาปรับเปลี่ยนพลังงานบางอย่างให้กับตึกแห่งนี้ โดยสร้างผลทางธุรกิจในแง่ของการลุงทุนของต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีนและฮ่องกงอย่างมหาศาลหลังปรับเปลี่ยนเสร็จแล้ว