จากบทสัมภาษณ์ของ ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เขียนหนังสือ “โลกของคนไร้บ้าน” (2007) และเคยลงพื้นที่เพื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนไร้บ้านจริงๆ เป็นเวลานานหลายปี ได้กล่าวไว้พอสังเขปมีใจความว่า
“คนไร้บ้านนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้อยากที่จะมีชีวิตไร้บ้าน หากแต่ถูกสังคมและคนรอบตัวผลักไสให้มีเหตุจำเป็นต้องเป็นคนไร้บ้าน และเมื่อต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างไร้บ้านแล้ว การจะหลุดพ้นจากสภาวะของคนไร้บ้านนั้นก็จะเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะการอยู่อย่างไร้บ้านนั้น เป็นการใช้ชีวิตที่ทำให้รู้สึกว่าความหวัง เป็นสิ่งที่ห่างไกลออกไปมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พอนานวันเข้าก็จะไม่เห็นช่องทางว่าเขาจะสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้เลย ชีวิตเขาจึงไม่หวังอะไร แค่ใช้ชีวิตเพียงวันต่อวันก็เกินพอแล้ว และสุดท้ายพวกเขาก็จะไม่มีวันที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างเช่นคนปกติได้อีก”
นั่นคงเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ James Bowen ผู้เขียนหนังสือชื่อ A Street Cat Named Bob (2010) ได้เคยใช้ชีวิตเป็นคนไร้บ้านตั้งแต่อายุได้ 18 ปี หลังจากที่เขาผิดหวังกับปัญหาครอบครัว และได้ตัดสินใจมาใช้ชีวิตบนท้องถนน ก่อนที่จะเลือกเสพยาเสพติดเพื่อหนีปัญหา แล้วทำให้กลายมาเป็นผู้ติดยาเสพติดเฮโรอีนเรื้อรัง จนเกือบเสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาด ซึ่งทำให้เขาต้องเข้าสู่คอร์สการบำบัดให้เลิกยาด้วยสารสังเคราะห์เมโธโดนในเวลาต่อมา
เรื่องราวชีวิตของ James Bowen คงจะไม่ได้ถูกนำมาเล่าเป็นเรื่องราวสร้างแรงบันดาลใจ หากว่าในชีวิตของเขาในตอนนั้นไม่ได้พบกับแมวจรจัดที่ชื่อ “Bob” ที่เขาได้พบโดยบังเอิญในอพาร์ทเม้นท์ของเขา และหลังจากที่เขามีโอกาสได้ดูแลช่วยเหลือ Bob พอมารู้ตัวอีกที เจ้าแมว Bob ก็ได้ติดตามและเดินตามเขาไปทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่เวลาที่เขาไปเล่นดนตรีเปิดหมวกที่ Covent Garden แล้วทำให้เขากับ Bob กลายเป็นคู่หูดาวเด่นที่ผู้คนพากันให้ความสนใจ
A Street Cat Named Bob : And How He Saved My Life คือหนังสือที่เขาเขียนขึ้น โดยบอกเล่าถึงเรื่องราวในชีวิตของเขา และการค้นพบความหมายของการมีชีวิตอยู่ จากแมวตัวหนึ่ง ที่ฟ้าส่งมาให้มาใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ด้วยความช่วยเหลือในการขัดเกลาให้หนังสือเล่มนั้นสมบรูณ์ โดย Garry Jenkins จึงทำให้ทั้งคู่ได้ออกหนังสือที่ขายดีเป็น International Best Seller ที่ขายได้หลาย 1 ล้านเล่มทั่วโลก
จากคนที่เคยไร้บ้านและสิ้นหวัง ได้กลับกลายเป็นคนที่ค้นพบคุณค่าของชีวิต ได้กลายเป็นคนที่สังคมยอมรับ และได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการสร้างแรงบันดาลใจ ไปพร้อมๆ กับคอยช่วยเหลือองค์กรการกุศลที่เคยช่วยเหลือเขาเมื่อยามที่เขาลำบาก นอกจากนี้เขายังได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับแมวของเขาที่ชื่อว่า Bob อีกหลายเล่ม รวมไปถึงนิทานภาพสำหรับเด็ก และได้กลายมาเป็นจุดสนใจของสังคม จนทำให้มีการนำหนังสือเล่มแรกของเขามาทำเป็นหนัง โดยใช้ชื่อเดียวกัน
แม้ว่า James Bowen (รับบทโดย Luke Threadaway – Unbroken , Clash of the Titan) จะไม่ได้มาลงเล่นในบทบาทของตัวเอง แต่ในส่วนของเจ้าแมว Bob นั้น เขาได้นำเจ้าแมว Bob มาแสดงเองจริงๆ (และแมวสแตนด์อินอีกนิดหน่อย) เลยทำให้เราได้เห็นความน่ารักของเจ้าแมวที่ชื่อว่า Bob ตัวจริงๆ ที่เป็นต้นฉบับของเนื้อเรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ที่สำคัญที่สุดของภาพยนตร์เรื่องนี้
ด้วยบทและภาพของ Bob ที่ทำมาเพื่อเอาใจเหล่าบรรดาทาสแมวทั้งหลายได้อย่างมาก ตัวหนังเองกลับมีบทและการแสดงที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่นัก อาทิเช่น การแสดงของ Luke ที่ดูกระโดดไปมาไม่เชื่อมต่อกัน ทำให้บางครั้งเขาดูเป็นคนที่สามารถควบคุมอาการอยากยาได้เป็นปกติ แต่ก็มีหลายครั้งเวลาเขาไปพบคนดูแลเรื่องการเลิกยา ตัวเขาจะแสดงอาการออกมาราวกับว่าเขานั้นเป็นคนที่มีอาการติดยาขั้นรุนแรง หรืออย่างในเรื่องของวิกฤติเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ไม่ต้องใส่มาก็ได้ อาทิเช่น นักเลงเอาหมามาฉี่ใส่ที่ใส่เงินตอนเล่นดนตรีเปิดหมวก จนทำให้ทะเลาะกัน ซึ่งทำให้หมาดูแย่ และทำให้รู้สึกถึงการถูกยัดเยียดให้มีอารมณ์ตื่นเต้น ทั้งๆ ที่เป็นบทที่ไม่จำเป็น ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะการกำกับของ Roger Spottiswoode ที่เคยกำกับหนังเก่าๆ ยุคปลาย 90 อย่าง James Bond – Tomorrow Never Dies (1997) และ The 6th Day (2000) จึงทำให้การเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ดูเชยๆ ไม่สมจริง
อย่างไรก็ดีหนังเรื่อง A Street Cat Named Bob ก็ใช่ว่าจะไม่สนุกหรือไม่บันเทิงเอาเสียเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ชอบแมวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็จะได้พบกับความน่ารักและความประทับใจจากเจ้าแมว Bob ที่ถือว่าแสดงได้ดี และทำออกมาได้น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ บวกกับความเชื่อที่ตัวหนังพยายามที่จะสอดแทรก นั่นก็คือความรักและความเมตตาที่มีต่อสัตว์ เพราะว่าการมีสัตว์เลี้ยงที่ซื่อสัตย์สักตัว จะสามารถช่วยเยียวยาจิตใจที่แตกร้าว และทำให้เราสามารถมองเห็นความหวังในวันข้างหน้าได้ ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์แนว feel good ที่ใช้ได้อีกเรื่องหนึ่ง ที่สร้างพลังด้านบวกให้กับคนดู ทำให้เราไม่รู้สึกยอมแพ้ ไม่ว่าจะเคยผ่านเรื่องราวที่เลวร้ายสักแค่ไหน หนังเรื่องนี้จึงเป็นหนังสร้างแรงบันดาลใจ ที่ทำมาจากเรื่องจริง ของตัวละครจริงๆ ที่เคยผ่านช่วงเวลาที่เป็นจุดต่ำสุดของชีวิต แต่แล้วก็ได้รับโอกาส ให้ได้แก้ไข แล้วพาชีวิตกลับมาพบกับความหวังและแสงสว่าง จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นปกติในสังคมได้ใหม่ อีกครั้งหนึ่ง
Photo : M Pictures