“Kan Atthakorn” ยูทูปแชนแนลที่หลายคนรู้จักกันดีด้วยยอดติดตามที่มากถึง 2.6M แถมชายหนุ่มคนนี้ยังเปิดยูทูปแชนแนลและบริษัท Bearhug ร่วมกับ Sunbeary แต่เหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีไฟในความฝันชัดเจนก้าวเข้าสู่การเป็น YouTuber วันนี้เราได้นั่งจับเข่าคุยกับคุณกานต์ – อรรถกร รัตนารมย์ ให้รู้จริงกันไปเลย!!
• ทำไมถึงมาเป็น YouTuber จุดเริ่มต้นเริ่มมาจากไหน
ตอนแรกผมอยากฝึกภาษาอังกฤษ แล้วเพื่อนรูมเมทดู Youtuber อยู่ ผมก็งงว่าที่เขาดูมันคืออะไร แล้วผมเห็นเพื่อนฝึกภาษาอังกฤษกับยูทูป พอเราอยู่หอคนเดียว ก็เลยมานั่งดูบ้าง ก็เลยค้นพบว่ามันมีอาชีพนี้อยู่ เราก็นั่งค้นในกูเกิลว่าในไทยมีใครทำอาชีพนี้บ้าง แล้วก็ค้นพบว่ามันไม่มี
ตอนนั้นก็จะมีอยู่แค่ Bie The Ska, Fedfe และ VRZO มีอยู่ 3 เจ้า ตอนนั้นที่ดังสุดๆ มี VRZO แต่ว่าผมไม่เชิง Youtuber นะครับ มันไม่เหมือนกับฝรั่งที่เราดู เราก็เลยคิดว่ามันเป็นช่องว่าง และสมัยเด็กผมมีปม อยากขึ้นเวที แต่ไม่ได้ขึ้น เพราะไม่หล่อ เพื่อนไม่ยอมให้ขึ้นเวที แต่เราอยากขึ้นเวทีกับเขาบ้าง
เราก็เลยเห็นตรงจุดนี้แหละ ก็เลยลองทำดู ผมก็เริ่มจากบอกอาจารย์ บอกเพื่อนๆ ก่อนว่า นี่นะเราจะทำสื่อ ทีวีออนไลน์ หรือวิทยุออนไลน์ ก็ไปพ่นความฝันให้เพื่อนฟัง แต่ก็ไม่มีใครอยากจะทำด้วย สุดท้ายเราก็เลยมานั่งทำคนเดียว ถ่ายคนเดียว ตัดคนเดียว แล้วไม่บอกใครด้วยเพราะเขิน หลังจากนั้นก็ทำเรื่อยๆ ตรงนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่เป็น Youtuber ครับ
• แล้วคิดว่าจุดไหนที่ทำให้เราเป็นที่รู้จัก
ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าสำหรับผมนะ มันมีช่วงที่ผมเล่นคุกกี้รัน แล้วไทยมันฮิตคุกกี้รันมาก ผมก็เลยทำคลิปโกงเกมคุกกี้รันขึ้นมา คลิปแบบเทคนิคเล่นยังไงให้ได้เหรียญเยอะ ตามสไตล์ผม แล้วมันมีคนเข้ามาเยอะ แต่ว่าเขาไม่ได้เข้ามาดูแค่คุกกี้รัน บังเอิญเขาเห็นว่าผมมีคลิปอื่นๆ ด้วย เขาก็เลยกดตามคลิปอื่นๆ ตอนนั้นได้คนดูมาประมาณ 1,000 Subscribe ก็ถือว่าเป็นแรงดีดที่ดีมาก ในมุม Creater นะ แต่ในมุมคนดูผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
• เพราะเห็นว่าทำช่อง The Nerd Creator ด้วย ทำไมถึงเลือกหยิบเรื่อง Creative มาพูด
ช่อง The Nerd Creator มันเป็นเพจที่ผมทำหลังจากทำ Youtube ได้ 2 ปีแล้ว เพราะผมอยากจะแชร์ความรู้ที่ทำมา
คือผมมียูทูปแชนแนลอยู่ 2 ช่อง อันหนึ่งคือบันเทิงไลฟ์สไตล์ ตลกเลย อีกอันหนึ่งก็คือทำเป็น The Nerd Creator คือให้ความรู้ เพราะว่าก่อนหน้าที่จะทำยูทูป ผมไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่งมา สอนรวยบนยูทูป แล้วเราก็แบบ โห!! ก็อปกูเกิลมานี่หว่า แล้วเราก็มีความเจ็บปวดตั้งแต่ตอนนั้น เราเลยรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครซื้อหนังสือแบบนี้เลย เราก็เลยมาสอนเอง ก็เกิดเป็นเพจ The Nerd Creator ซึ่งตอนนี้ The Nerd Creator ผมก็ไม่ได้ทำแล้วนะ ไม่มีเวลาทำ ก็เลยให้คนอื่นทำไปแล้ว เพราะผมบรรลุภารกิจที่อยากพูดเรื่อง Creator ไปแล้ว ผมก็เลยส่งต่อ
• ในการทำคลิปแต่ละคลิป คุณกานต์ให้ความสำคัญกับอะไร
ผมให้ความสำคัญทั้งกระบวนการ คือมันจะมี Pre – production, Production และ Post – production ใช่ไหม ผมจะเป็นคนที่ใส่ใจทั้ง 3 อย่างเลยครับ คือจะใช้เวลากับมันเยอะมาก แล้วก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเอง ยังไม่ได้สบายสักทีมั้ง
คือถ้าเป็นรายการทีวี เขาไปถ่ายเขาจะใส่ใจกับ Pre – production การเตรียมการและ Production ผู้กำกับใส่ใจ เสร็จปุ๊บก็โยนเข้าห้องตัด คนตัดก็คือตัด แต่ของผมคือ คิดตั้งแต่ก่อนถ่าย ตอนถ่ายก็คือใส่ใจมาก แล้วก็พอเสร็จปุบ เราก็ต้องมานั่งตบอีกรอบหนึ่ง คือจะใช้เวลาเยอะกว่าที่อื่น จะไม่ใช้คนนอกตัด
• แต่ละคลิปได้แรงบันดาลใจจากไหน
จากช่วงชีวิต คือมีอะไรที่เราคิดว่าสนุก เราก็ทำเลย
• แล้วการหยิบเรื่องๆ หนึ่งมาพูด เราต้องคิดไหมว่า ทำแล้วคนดูจะชอบไหม
คิดครับ ผมต้องคิดด้วยว่า ที่เราทำคนดูจะชอบหรือเปล่า หรือในจังหวะนั้น สมมติเราเห็นเหตุการณ์อะไรที่มันน่าสนใจ เราก็คิดว่าเอามาเล่าให้คนดูฟังดีกว่า หรือได้ของเล่นอะไรใหม่มา ก็เอามาเล่นให้ดู มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่หาความบันเทิงทั่วไป แล้วก็เอามาเล่าต่อ
…มันก็เหมือนกับมนุษย์ที่หาความบันเทิงทั่วไป แล้วก็เอามาเล่าต่อ
• คุณกานต์ให้ความสำคัญกับยอดวิวมากแค่ไหน
ผมก็ให้เยอะนะ เพราะยอดวิวมันบ่งบอกว่าคนดูชอบ หรือไม่ชอบเรา แต่ว่าเวลาขายงาน ผมจะไม่ให้ความสำคัญกับยอดวิวเท่าไร ผมไม่เคยเอายอดวิวไปขาย ผมรู้สึกว่าบางที Value มันอยู่ที่งานที่เราสร้างมามากกว่าว่ามันมีเบื้องหลังอะไร คือด้วยความที่ผมเรียนธุรกิจมา เวลาเราขายงานให้ลูกค้า เราคิดเรื่องการตลาดแทนลูกค้าไปด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องตัวเลขยอดวิวผมจะไม่ได้สนใจ ผมจะสนแค่ว่า เราจะปิดการขายให้ได้ไหม หรือว่าเราจะสร้าง Value ให้คนดูจดจำพวกเขาได้มากแค่ไหน ในจำนวนที่เราหามาได้
• ได้วางเป้าหมายของตัวเองเอาไว้ไหม
ล่าสุดคือผมเลิกทำ (แชนแนล Kan Atthakorn) แล้วพี่รู้ป่าว ผมเพิ่งประกาศเลิกทำไปเมื่อประมาณ 2-3 วันที่แล้ว (สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2018) แต่ว่าผมไปทำแชนแนลใหม่ เพราะว่าผมมีเป้าหมายชีวิตว่าผมอยากทำงานประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน แล้วอยากเอาเวลาไปเที่ยว ไปสนุก ไปหาอย่างอื่นให้คนดูให้มากกว่านี้ แต่ว่าแชนแนลที่ทำอยู่ในปัจจุบัน โครงสร้างมันวางไม่ค่อยดีเท่าไร มันทำให้เรากลายเป็นว่า เราทำด้วยความไม่สนุก ไม่แฮปปี้ เราก็เลยเลิกทำแล้วไปเปิดแชนแนลใหม่ ชื่อว่า Bearhug ลงไปแล้ว 3 คลิป
…ผมเชื่อว่าทำงานที่ชอบ ยังไงเราก็มีกินอยู่แล้ว
• การที่เราคิดจะทำงานวันละ 3 ชั่วโมงต่อวัน คิดว่ามันทำได้จริงหรือ
3 ชั่วโมงต่อวันของผม คือการมานั่งหน้าคอมพ์ 3 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่นั่งเป็น 10 ชั่วโมงอะไรอย่างนี้ ผมอยากเอาเวลาไปทำให้ตัวเองแฮปปี้กว่านี้ ไปถ่ายทำ ไปที่ใหม่ๆ มากขึ้น ไปหาของมาให้คนดูมากขึ้น เพราะจริงๆ ผมทำงานก็เหมือนไม่ทำครับ แต่ช่วงที่ผมคิดว่าทำงานจริงๆ เลยคือมานั่งตัดต่อ หรือว่านั่งคิดไอเดียเสนอลูกค้า
• แล้วทำไมต้องแค่ 3 ชั่วโมง
ผมจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น ที่เกี่ยวกับการลงทุน เพราะถ้าบอกว่าเป้าหมายจริงๆ คือเปลี่ยนอาชีพ อาชีพก็คือสิ่งที่เราทำมาหากิน ผมไม่อยากทำมาหากินจากยูทูป ผมอยากทำมาหากินจากอาชีพอื่น พวกลงทุนอย่างนี้แทน
• ช่องใหม่ที่เพิ่งทำ วางเป้าหมายไว้ไหม
ผมไม่ได้วางเป้าเรื่องเงินไว้เลย ผมวางเป้าหมายไว้ว่า ข้อ 1 ผมจะทำงานให้ได้วันละ 3 ชม. ข้อที่ 2 ผมจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้บนโลกที่ไม่ใช่กรุงเทพ ทำช่องนี้มัน support กว่า
คือเมื่อก่อน Bearhug ประกอบด้วย 3 ช่อง ช่องผม ช่องซารต์ และช่อง The Nerd Creator ตอนนี้ The Nerd Creator ให้คนอื่นดูแลไปแล้ว ตัดทิ้ง เหลือช่องผมกับช่องซารต์ ช่องของซารต์เป็นแชนแนลท่องเที่ยวและผมเป็นครีเอทีฟ เวลาไปเกาหลีที 7 วัน ผมก็ไปอยู่เกาหลี 7 วัน แล้วกลับมาต้องมานั่งทำช่องตัวเอง พลังครีเอทีฟมันก็ดรอป ของซารต์เขาก็ดรอป เพราะเขาก็หมดแรงตรงนี้แล้ว เขาก็มาช่วยผมไม่ไหว พอมันเกิดแบบนี้ มันก็โทรมกันทั้งคู่ มันแทบจะทำงาน 24 ชม. ก็เลยตัดสินใจว่า โอเคยุบ 2 ช่อง เปิดช่องใหม่ รวมเป็นช่องเดียว
ผมวางระบบตัดต่อใหม่หมดเลย วางวิธีการถ่ายใหม่หมดเลย ทำเทมเพลตใหม่หมด ที่มันสามารถทำง่ายขึ้น เราก็ไม่ต้องอิงกับผลงานเดิมของตัวเองด้วย เหมือนผลงานใหม่ไปเลย เหมือนเราเอากลิ่นใหม่ ถ้าเกิดว่าเทียบผลงานเดิมเหมือนสตาร์บัคส์ แล้วพอผมจะทำข้าวราดแกงมาเสิร์ฟในสตาร์บัคส์ คนก็ไม่แฮปปี้ ผมก็ปิดสตาร์บัคส์ เปิดข้าวราดแกงแทน
• ถ้าพูดถึงการทำความฝันกับความจริงให้เดินไปพร้อมกัน มันต้องเริ่มจากไหน
เริ่มจากต้องมีเป้าหมายก่อน เป้าหมายของผมคือ ผมอยากสร้างโรงเรียนให้ชุมชน แล้วมันต้องใช้เงินประมาณ 300 – 500 ล้าน ซึ่งเราเป็น Youtuber ไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว ซึ่งการผมปิดแชนแนลแล้วไปทำใหม่ ผมจะได้ใช้แรงให้มันน้อยลง อาจจะได้ทุนเท่าเดิม แต่ลงแรงน้อยลง แรงที่เหลือเราเอาไปลงทุนอย่างอื่นที่มันสามารถทำให้เรามีโรงเรียนได้ แล้วเราก็ทำ Youtuber เป็น Side Job ได้ ไม่ต้องทำเป็นอาชีพหลัก
เพราะว่าการยึด Creator เป็นอาชีพหลัก มันไม่สนุกเท่าไร เหมือนแบบมันต้องหาเงินกับคนดูเรา หาเงินแบบรับสปอนเซอร์มา แล้วเราก็ต้องเอาสปอนต์นี้ไปหาเงินกับคนดูเรา สำหรับผมมันไม่ค่อยสนุกเท่าไร ผมอยากจะเจอหน้าพวกเขาแล้วทักทายเหมือนเพื่อน ไม่ใช่แบบ มึงซื้อสินค้าที่กูขายไปแล้วยัง
คนเรามันมีข้อจำกัดเวลาอยู่ ด้วยวัย ด้วยอายุของพ่อแม่ด้วย ผมว่าผมรอไม่ได้ ผมก็เลยออกจาก safe zone ที่รู้สึกปลอดภัยไปเลย
• ทำไมถึงอยากสร้างโรงเรียน
เพราะผมไม่ชอบโรงเรียนที่มีอยู่ แค่นั้นเอง คือเคยทำแบบสอบถาม เป็นแบบสอบถามความชอบในชีวิตเราว่าทำอะไรแล้วเราจะฟินที่สุด แล้วผมก็ไปโป๊ะเชะกับคำตอบหนึ่งที่แบบไม่เคยผุดมาในหัวเลย คือผมนะเหมาะกับการเป็น ผอ. โรงเรียน ผมชอบดูเด็กวิ่งเล่นในสนามเด็กเล่นที่เราสร้าง เห็นเขาเรียนรู้
แล้วก็สมัยก่อนเคยไปค่ายที่อำเภอเชียงดาวมา เป็นค่ายแบบพี่ธรรมศาสตร์ไปจัดค่ายให้ แล้วเราไปถามน้องว่า ไหนใครอยากเข้าธรรมศาสตร์บ้าง จากเด็ก 200 คนมีคนยกมืออยู่ 2 คน ผมก็ถามว่าทำไม น้องๆ ก็บอกว่า เขาอยากจบมาเป็นตำรวจ เป็นช่างซ่อมรถบ้าง เป็นเกษตรกรช่วยพ่อแม่บ้าง เป็นผู้ใหญ่บ้าน ผมก็เลยมองว่าไอ้เด็กพวกนี้แหละคือเด็กที่เราอยากทำงานด้วย
คือน้องกลับสู่ชุมชน เรียนเสร็จน้องๆ ก็กลับมาพัฒนาชุมชน ไม่ได้เข้าเมืองใหญ่ เพราะพอเข้าเมืองใหญ่ปุ๊บก็ทำงานให้บริษัท ซึ่งสุดท้ายประเทศมันก็ไม่เจริญ เพราะมันไม่ได้ทำอะไรให้ชุมชน เด็กพวกนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่เคลื่อนประเทศเราไง ผมก็มองว่าทำงานกับเด็กพวกนี้สบายใจกว่า มันไม่ต้องกวดวิชา ไม่ต้องทำอะไร เราแค่สอนให้เป็นคนดี ไม่ตีกัน หรือสอนให้รู้จักการลงทุน เอาเงินพ่อแม่ใช้ให้ถูกทาง ผมว่ามัน Effective กว่า
ผมจริงจังนะ ถ้าไม่จริงจังผมไม่ปิดแชนแนลปัจจุบันหรอก เพราะผมรู้สึกว่ามันพาไปถึงเป้าไม่ได้ แต่ถึงทำต่อไปผมก็คงทำเหมือนเดิม คือถ้าเป็นกราฟ ผมก็คงเป็นกราฟอิ่มตัวแล้ว รอเก็บเกี่ยว แต่ผมไม่อยากรอเก็บเกี่ยว คนเรามันมีข้อจำกัดเวลาอยู่ ด้วยวัย ด้วยอายุของพ่อแม่ด้วย ผมว่าผมรอไม่ได้ ผมก็เลยออกจาก safe zone ที่รู้สึกปลอดภัยไปเลย
• คุณกานต์คิดว่าอะไรเป็นจุดเด่นของตัวเอง
ของผมน่าจะเป็นความ “แปลก” ครับ คือคิดไม่เหมือนชาวบ้านเขา ผมคิดสวนทางโลกมาก ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วที่ผมคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเขา แล้วเพื่อนก็จะมองเราว่าเป็นตัวประหลาดอะไรอย่างนี้ โดนแบนมาตั้งแต่มัธยม
• การที่เราคิดไม่เหมือนคนอื่น มันทำให้เราเป็น Creative ที่ดีด้วยไหม
ผมไม่ได้ทำอาชีพ Creative เต็มตัว คือไม่เคยเข้าไปทำงานบริษัทเลย แต่มองว่า Creative สำหรับผมคือการทำอะไรที่มันแปลกใหม่และตอบโจทย์โลก คือทำอะไรที่มันแปลกใหม่ แล้วมันไม่ตอบโจทย์โลก อันนี้ผมมองว่ามันเป็นศิลปินไส้แห้ง แต่ถ้า Creative ก็คือทำอะไรที่แปลกใหม่ ในมุมใหม่ แล้วก็ตอบโจทย์โลกได้ ผู้คนต้องการ
• คุณกานต์เปิดคอร์สสอนครีเอทีฟด้วย แสดงว่าความครีเอทีฟสอนกันได้
ผมไม่ได้สอนครีเอทีฟนะสิครับ ผมสอนแนวคิดว่า คิดยังไงไม่ให้หลงทาง คือคนทำยูทูปจะมีความคิดอีกแบบหนึ่ง เรื่องนี้ผมไปเจอมาจากหลายๆ กลุ่มที่ผมอยู่นะ คือวันๆ เขาก็บ่นแต่ว่า ยูทูประบบไม่ดี ยูทูปไม่ยอมจ่ายเงิน ยูทูปจ่ายเงินช้า ซึ่งมันไม่ได้ทำให้คอนเท้นพัฒนา แล้วมันไม่ได้สร้างอะไรดีๆ ให้กับโลก มันก็แค่ทำแล้วเอาเงินจากคนดูเท่านั้นเอง คอนเท้นมันไม่มีคุณภาพ สุดท้ายมันไม่ยั่งยืน
พ่อหลวงเราสอนให้ทำอะไรให้มันยั่งยืนถูกไหม ผมก็ใช้แนวคิดนี้สอนว่า เวลาคุณลงทุนกล้อง ลงทุนเลนส์ หรือไม่ว่าอะไรอย่างนี้ คุณควรลงทุนอะไรก่อนให้มันยั่งยืน หรือว่าคุณควรคิดยังไงกับการทำคอนเท้นของคุณให้มันยั่งยืน ออกแบบวิดีโอยังไง คุยกับลูกค้ายังไงให้ยั่งยืน หรือกำหนดแนวทางยังไงให้ยั่งยืน ซึ่งส่วนมากในบทเรียน ทุกคนจะมาตายในจุดที่ว่า ฉันชอบจริงๆ หรือเปล่า
ข้อแรกที่เราจะให้ทำก็คือว่าให้ระบุมาก่อนเลยว่า ฉันต้องการเป็นครีเอทเตอร์ เพื่อ… ให้ค้นตัวเองลึกๆ เลยว่าเพื่ออะไรกันแน่ ส่วนมากคนเราจะโกหกตัวเอง แต่สุดท้ายทุกคนจะมาจบในการยอมรับว่า เพื่อฉันอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น
• แสดงว่าการที่คนๆ หนึ่งจะเป็น Creator อยู่ที่การต้องรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร
คนจะเป็น Creator ส่วนมากที่เข้ามาทำ เขาจะคิดว่าเขาจะต้องทำเหมือนคนนี้ เขาจะต้องพูดแบบนี้ ทำเหมือนดาราอย่างนี้ ทำรายการอย่างนี้คนจึงจะมาดู ซึ่งส่วนมากทุกคนจะมองข้ามความสุขและทรัพยากรที่ตัวเองมี ทุกคนจะมองข้ามงานอดิเรกที่ฉันชอบ ทุกคนจะมองไปถึงโน้นเลย สเต็ปไหนทำให้ได้เงินเลย และสุดท้ายมันไม่ยั่งยืน
งานอดิเรกยังไงมันก็ต้องหาเลี้ยงชีพได้ คิดดูสิ ผมยังไม่เคยเจองานอดิเรกอะไรที่หาเลี้ยงชีพไม่ได้ ยกเว้นแต่ว่าเราไม่ฉลาดพอที่เราจะเอามันไปหาเลี้ยงชีพ ปลูกผักก็หาเลี้ยงชีพได้ วาดรูปก็หาเลี้ยงชีพได้ ดนตรีกีฬาก็หาได้ หาได้หมดเลย แม้แต่คนเล่นเกมก็หาเลี้ยงชีพได้
• ถ้าให้ระบุอาชีพตัวเอง จะระบุว่าอะไร
ถ้าอนาคตที่ผมอยากเป็นนะ ผมอยากเป็น ผอ. แต่ถ้าอาชีพตอนนี้จะเป็นบอกว่า Creator มันก็กระดากปาก แต่พูดเป็น Creator ก็ได้ครับ จะบอกว่าเป็นนักเดินทางก็แอบจะใช่ เหมือนแบบค้นหาตัวเอง จะบอกว่าเป็นผู้บริหารก็ไม่เชิง เพราะมันต้องมีฐานคนในบริษัท ผมนิยามไม่ได้แล้วกัน ไม่รู้นิยามไปเพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์
คนส่วนมากมักจะถูกสอนว่า ขยันไว้ก่อน แต่จริงๆ แล้ว ฉันทะ วิริยะ คำว่าวิริยะ ไม่ใช่แค่ขยันอย่างเดียว ขยันแล้วคุณต้องมีปัญญาด้วย เพราะว่าคุณขยันอย่างเดียวไม่ได้ทำให้รวย แต่ขยันแล้ว มันจะต้องมีจิตตะ วิมังสา คือการ Feedback กับตัวเอง
• ระหว่างพรสวรรค์กับพรแสวง คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน
ผมว่าหาพรสวรรค์ให้เจอ มันจะดีมากเลย เพราะว่าจริงๆ พรสวรรค์เป็นสิ่งที่เราใช้ทำมาหากินได้ง่ายกว่าพรแสวง พรแสวงเหนื่อยนะ แล้วสุดท้ายเราก็ไปแพ้คนที่มีพรสวรรค์อยู่ดี ผมจะเป็นคนที่จะหาพรแสวงก็ต่อเมื่อจำเป็นต้องหา อย่างตัดต่อย่างนี้ ผมว่าเป็นพรแสวง มันเหนื่อยมากที่จะเรียนรู้กับตัดต่อ แต่ถ้าเป็นการจับไมค์คือผมจะเร็วมากเลยไง โดยตบนิดหน่อยก็เข้าล็อค เหมือนเป็นทางลัดส่วนตัว ถ้าเกิดว่าถามผม ผมอยากให้ทุกคนหาพรสวรรค์ของตัวเองมากกว่า เพราะมันหายากกว่าพรแสวง แต่พอเจอปุบ มันเหมือนดีดเลยนะ
• แล้วจะหาพรสวรรค์ของตัวเองเจอได้ยังไง
ง่ายๆ เลย อยากเรียนเยอะ คือทำอย่างอื่นนอกห้องเรียนะเยอะๆ เดี๋ยวจะเจอ เพราะผมเป็นเด็กกิจกรรม ผมก็เลยทำ everything หลายๆ อย่างเลย คือไม่ได้เรียนอย่างเดียว ผมเลยอยากทำโรงเรียนที่มันไม่ต้องเรียนเยอะ
…เราจะไม่มีทางรวยได้เลย ถ้าเราไม่มีความสุขในงานของเรา
• คุณกานต์เคยพูดไว้ว่า “การเป็นครีเอทเตอร์ที่รวย เป็นครีเอทเตอร์ที่ไม่ได้รวยด้วยเงิน แต่ต้องมีความสุขด้วย” อันนี้เป็นยังไง
คือผมมีเพื่อนที่ทำเพื่อเงิน แล้วก็ผลงานที่ออกมามันจะคนละอย่าง คือเราสัมผัสได้นะ เวลาดูทีวีแล้วรู้ว่าใครน่าเงิน ใครไม่น่าเงิน หรือคนที่มีความสุข เราจะสัมผัสได้ เขาจะส่งพลังมาถึงเรา แล้วก็ส่งผลด้วยยอดวิว ด้วยการสื่อสารอะไรบางอย่าง
ผมเน้นว่าการทำงานอะไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็น Creator ก็ได้ แต่ถ้าทำแล้วมีความสุข ผมเชื่อว่ายังไงมันก็รวย มีความสุข แล้วต้องมีปัญญาด้วยนะ คือเราจะไม่มีทางรวยได้เลย ถ้าเราไม่มีความสุขในงานของเรา ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา คำว่าฉันทะ ข้อแรกคือความรัก มันต้องเริ่มจากความรักก่อน
• คำถามสุดท้าย คุณกานต์มีวิธีตบตัวเองยังไงไม่ให้หลงทางกับเป้าหมายที่วางไว้
ผมเป็นคนที่ตบตัวเองอยู่แล้ว เป็นคนที่มอนิเตอร์ความสุขของตัวเองตลอดเวลาอยู่แล้ว เมื่อไรที่เริ่มไม่มีความสุขก็เริ่มมานั่งเครียดกับตัวเอง มานั่งทบทวน จะมีวันที่ผมนอนมองเพดานเฉยๆ บ่อย เมื่อไรก็ตามที่เริ่มไม่มีความสุข ผมก็จะเริ่มมอนิเตอร์ แต่คนส่วนมากมักจะถูกสอนว่า ขยันไว้ก่อน แต่จริงๆ แล้ว ฉันทะ วิริยะ คำว่าวิริยะ ไม่ใช่แค่ขยันอย่างเดียว ขยันแล้วคุณต้องมีปัญญาด้วย เพราะว่าคุณขยันอย่างเดียวไม่ได้ทำให้รวย แต่ขยันแล้ว มันจะต้องมีจิตตะ วิมังสา คือการ Feedback กับตัวเอง
Story : Taliw
Photo : Wara Suttiwan