อ่านบทสัมภาษณ์ “พูดคุยกับ 4 สมาชิกวง MEAN กับการเดินบนถนนสายดนตรี ตอนที่ 1” ได้ที่นี่… click
…การมาถึงจุดนี้ มันได้เกิดคำถามนี้กับตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เรียนจบว่า เราจะอยู่กับอะไรไปตลอดชีวิต ซึ่งมันก็คือดนตรี เพราะฉะนั้นเมื่อมีคำถามซ้ำกลับมาอีกครั้งหนึ่งว่า เราจะมีอย่างอื่นไหม มันเลยไม่มีแล้ว เพราะมันได้ตอบไปแล้ว
• ในเฟซบุ๊กมีการโพสว่าจะเลิกทำวง เป็นยังไงมายังไง?
ปาล์ม : ก่อนที่จะมาลุยทำวง เราทำงานเก็บเงินกันได้ประมาณหนึ่งแล้ว ทำงานจนแบบว่าได้เงินก้อนหนึ่งมา แล้วตอนนี้เราก็ใช้เงินก้อนนั้นไปทุ่มเทกับการทำวง คือสำหรับคนอื่นอาจมองว่าวงเรามาไกล ตอนนี้ยอดไลน์ในเพจเราคือสามหมื่นกว่า แต่สำหรับเราแล้ว เรารู้สึกว่าเรายังไปไม่ถึงตรงไหนเลย อาจจะเพราะว่าถอยกลับไปในวันนั้น ที่เราไปตั้งเป้าว่าเราจะไปเล่นราชมังฯ การที่มียอดไลน์สามหมื่น มีเพลงขึ้นชาร์ต มันไม่ตอบโจทย์เรา เราก็เลยเป็นทุกข์มาก ทำไมไม่ได้เล่นซะทีวะราชมังฯ ก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ต้องการแล้ว
ทีนี้พอมันไม่ตอบโจทย์แล้ว เราเลยรู้สึกว่าเราแยกย้ายกันดีกว่า เงินก็ไม่เหลือแล้วด้วย เราก็ไปไม่ถึงเป้า เรากลับไปทำงานกันไหม ซึ่งผลสรุป ณ ตอนนี้คือมันยังไม่เลิกไม่ได้ เพราะเรายังไม่ได้ลงเดิมพันที่แรงที่สุด ที่ชัดเจนที่สุด ต่อให้ผมบอกว่าเลิกก็ตาม พรุ่งนี้เช้าหากมีใครติดต่อให้เราไปทำอะไร เราก็ไปทำอยู่ดี ในทางกลับกันหากว่าเราอยู่ค่ายแล้วเราไม่ดัง แล้วเขาดอง ก็เหมือนว่าจะต้องเลิกไปโดยปริยาย ก็เลยคุยกันว่าถ้างั้นตอนนี้มันคงถึงเวลาแล้วที่ต้องเลิก
คำว่าเลิกของผมหมายถึงการไปสังกัดค่าย ซึ่งคนทั่วไปอาจจะบอกอะไรของมึงวะ นั่นมึงกำลังจะเติบโตไม่ใช่หรอ แต่สำหรับผมคือ มันเหมือนเวลาคนที่ทำ Startup ที่เขาเป็น CEO เองกับการขายหุ้นให้คนอื่น มันก็จะมีรู้สึกเหมือนสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองกับมือ เราต้องยกให้คนอื่น ในความรู้สึกผม การที่ต้องไปเซ็นสัญญากับค่ายเหมือนการเลิก คือถ้าเราไปอยู่กับค่ายเราก็ต้องแบ่งเปอร์เซ็นต์ แบ่งทุกอย่างให้เขาหมด แล้วเราก็ต้องทำตามที่เขาบอกว่าเราต้องทำอะไรยังไง ดังนั้นการเลิกสำหรับเราก็คือการยกวงให้คนอื่นไป
• หากไม่ทำวงดนตรี มีอาชีพอื่นอยากทำไม หรือมีความฝันอื่นไหม?
กัปตัน : จริงๆ ผมมีฝันอื่นนะครับ ผมอยากเปลี่ยนงานทุกๆ 2-3 เดือน ทำกระเป๋ารถเมล์ เป็นเด็กเสิร์ฟ ทุกอย่างเลยที่ผมสามารถทำได้ แบบว่าเราทำไปเรื่อยๆ เราอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง อะไรแบบนั้นมากกว่า
กัน : ยากเลยอะ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร นึกไม่ออกเลย อย่างเราบอกว่าเราจะใช้ความรู้ที่เราเรียนมา ผมจบธุรกิจระหว่างประเทศ โลจิสติกส์และการขนส่ง แต่ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ชอบไปเล่นดนตรี คือทุกอย่างที่เรียนมามันก็รู้แหละ แต่ว่าเราก็ไม่ได้ชอบ เราก็เลยไม่รู้ว่าเราจะทำอะไร นอกจากเล่นดนตรี
ปาล์ม : คือผมว่า กัน พัด แล้วก็ตัวผมเอง ค่อนข้างสวนทางกับกัปตันนิดนึง เพราะว่าผม กัน พัด เรียนคณะอื่นที่ไม่เกี่ยวกับดนตรีมาก่อน ซึ่งผมเรียนภาพยนตร์มา พัดเรียนกฎหมาย การมาถึงจุดนี้ มันได้เกิดคำถามนี้กับตัวเองไปแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เรียนจบว่า เราจะอยู่กับอะไรไปตลอดชีวิต ซึ่งมันก็คือดนตรี เพราะฉะนั้นเมื่อมีคำถามซ้ำกลับมาอีกครั้งหนึ่งว่า เราจะมีอย่างอื่นไหม มันเลยไม่มีแล้ว เพราะมันได้ตอบไปแล้ว ในขณะที่กัปตันที่เขาเล่นดนตรีมา เขาก็อาจจะมองไปที่อื่นบ้าง ก็เลยสวนกัน
• ที่บ้านได้ให้การสนับสนุนอะไรบ้างไหม?
กัปตัน : ที่บ้านผม พ่อผมสนับสนุนทุกอย่างอยู่แล้ว พ่อผมจะสอนตลอดเลยว่าอยากทำอะไรก็ทำเลย แต่ขอให้เลี้ยงตัวเองได้ก็พอ คือพ่อผมสนับสนุนตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ตั้งแต่รู้ว่าผมชอบดนตรี แล้วก็ให้เรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ 11 ขวบ ตลอด จนเรียนมหาลัยพ่อก็เชียร์ให้เรียนดนตรี แต่ว่าตอนนี้เขาก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรแล้ว เพราะเป็นหน้าที่ของเราแล้วไง แต่ว่าตอนก่อนเขาก็สนับสนุนมาตลอด
กัน : ของผมก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรเหมือนกัน ที่บ้านผมเป็นบ้านข้าราชการ เวลาเขาถามว่าเราอยากเป็นอะไร เราบอกว่าอยากเป็นนักดนตรี เขาก็จะบอกว่ามันจะมั่นคงหรอ มันเหมือนกับว่าจะทำอะไรกินเป็นนักดนตรี แต่จริงๆ แล้วในวงการนี้มันมีช่องทางเยอะมาก มีรายได้หลายช่องทาง ด้วยความที่ผู้ใหญ่เขาไม่เห็นด้วย แต่เรารู้สึกว่ามันทำได้ เราก็พยายามทำให้เขาเห็นว่านี่เราเลี้ยงตัวเองได้นะ จนวันหนึ่งเขาก็เริ่มสนับสนุนเรา เพียงแต่ว่าเรามั่นคงพอที่จะไปพิสูจน์ให้เขาเห็นได้หรือเปล่า ซึ่งสำหรับผมก็พยายามพิสูจน์ให้ที่บ้านเห็นว่าเราทำได้นะ เขาก็ค่อนข้างจะโอเค
ปาล์ม : คือที่บ้านผม พ่อผมเขาจบนอกมา เขาค่อนข้างจะมีความคิดแบบฝรั่งนิดนึง คือเขาไม่อยู่ในเชิงสนับสนุนหรือไม่สนุน พอโตแล้วเขาก็คือปล่อยเลย เขาบอกว่าแล้วแต่ ให้เลือกทางเดินชีวิตเอง แต่ผมรู้สึกว่าเขาก็แอบสนับสนุนอยู่ห่างๆ ก็คือว่าเวลาเราปล่อยผลงานหรือเพลงขึ้นชาร์ต เขาจะโทรมา เราก็รู้สึกว่าดีใจ พ่อเขาก็ตามอยู่นะ แม่ด้วยเช่นกัน
พัด : คือจริงๆ ที่บ้านก็ไม่เคยเห็นด้วยมาแต่ไหนแต่ไร หนักที่สุดเลยคือพ่อผมเคยร้องไห้ แบบว่ามากอดผมแล้วก็ร้องไห้ เหมือนจริงๆ แล้วเขาก็คงอยากบอกให้เราเลิก บางทีผมกลับไปบ้าน แม่ก็จะแบบว่าเอาหนังสือที่มีรับสมัครงานมาวางไว้บนโต๊ะ แต่ไม่ได้พูดอะไรนะ ก็จะมีแบบนี้วนๆ มาเดือนละครั้งสองครั้ง คือพับหน้าที่สมัครงานนิติกรอะไรอย่างนี้ เขาอาจจะคาดหวังด้วยแหละว่าเราจบนิติศาสตร์มา จริงๆ มันมีวิชาชีพที่มันมั่นคงรองรับอยู่ มีเส้นทางที่ไปได้ง่าย แต่คือเขาก็พยายามจะให้กำลังใจเรานะ คือก็รู้แหละว่าเขาไม่ได้เห็นด้วย แต่ว่าเขาพยายามจะเข้าใจ แล้วก็สนับสนุนเราตลอด บางทีเขาก็จะมาถามไถ่ เป็นไงบ้างเห็นไปสัมภาษณ์ที่นู้นที่นี่ ไปออกรายการเขาก็จะตามๆ ดูบ้าง คืออย่างคุณแม่เขาก็จะพูดเสมอว่า เขาเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจทำอะไรจริงๆ แล้ว เราทำได้อยู่แล้ว ก็แบบว่าให้เราสู้แล้วกัน อะไรแบบนั้น
…คือส่วนสำคัญในงานเพลงคือเรื่องที่เราอยากจะสื่อสารอะไรมากกว่า
• ในฐานะที่ตัวเองเป็นนักดนตรีน้องใหม่ มองอย่างไรกับศิลปินหน้าใหม่ในเมืองไทย?
ปาล์ม : ผมว่าทุกวันนี้มันเป็นช่วงขาขึ้นมากๆ ของวงเกิดใหม่ เพราะว่าสมัยก่อนจะมีวงหน้าใหม่น้อยมาก เพราะว่าต้องเป็นวงที่คนรู้จักกันอยู่แล้วถึงจะได้ออกผลงาน แต่ในขณะนี้ใครๆ เขาก็ออกได้ ศิลปินหน้าใหม่ในยุคนี้มันเยอะมาก แล้วผมก็รู้สึกว่าไอ้ความเยอะเนี่ย มันก่อให้เกิดการแข่งขันสูงมากเช่นกัน และมันก็ทำให้วงการต้องพัฒนาขึ้นมาก ถ้าไปฟังเพลงของเด็กสมัยนี้คืองานดีทั้งนั้นเลย แล้วต้นทุนก็ต่ำลงด้วย เทคโนโลยีเอื้ออำนวย ทุกอย่างมันก็ดีขึ้น
กัน : คือเดี๋ยวนี้เราจะปล่อยเพลง เราก็แค่เปิดเพจก็ได้แล้ว สมมติเราเทียบกับกลไกตลาด มันก็เหมือนกับว่าตลาดได้แข่งขันกันอย่างสมบูรณ์ สุดท้ายตัวงานข้างในมันก็จะดีขึ้น ใครที่มันไม่ดี มันก็จะไม่รอด พูดง่ายๆ ว่าศิลปินหน้าใหม่ปล่อยผลงานได้ง่ายขึ้น แต่การที่คุณจะอยู่รอดได้มันอาจจะยากขึ้นด้วย
ปาล์ม : ผมคิดว่าศิลปินยุคนี้ เวลาที่เราจะมาวิเคราะห์ นี่วัดจากตัวผมเองเลยไม่ได้ไปมองคนอื่น ผมได้คำตอบกับตัวเองว่าจริงๆ ที่ผมท้อ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าวงการยากขึ้นเลย ผมห่วยเอง แล้วผมก็ท้อเอง เพราะงานผมมันไม่ดีพอที่คนจะชอบกันทั้งหมด ไม่งั้นเพื่อนๆ ที่ผมเพิ่งพูดไป โดม จารุวัฒน์, อะตอม ชนกันต์ ในช่วงที่ทุกคนบอกว่าวงการเพลงแย่ด้วยซ้ำแล้วมันดังได้ยังไง เหตุผลเดียวเลยคืองานดี แค่นั้นเอง ถ้าจะให้พูดถึงคนที่กำลังท้อหรือใครก็ตาม ก็อยากจะบอกว่ามันต้องเริ่มที่ตัวเราเท่านั้นเอง
• ที่มีคนพูดว่าเพลงไทยไปก็อปปี้เพลงต่างชาติ อันนี้คิดอย่างไร?
ปาล์ม : คือต้องเข้าใจว่าศิลปะมันคือการเลียนแบบอยู่แล้วตั้งแต่ต้น อย่างอาหารหรืออะไรก็ตามที่เขาจัดจานมา เราก็จัดเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่งเวลาที่เขาใช้คำว่าก็อปปี้ เหมือนกับว่าเรามองข้ามว่า จริงๆ แล้วศิลปะมันคือการเลียนแบบอยู่แล้ว ถ้าไปดูผลงานของคนประเทศอื่น เขาก็เลียนแบบต่อๆ กันมาทั้งนั้น แต่เขาเข้าใจศิลปะ เขาเข้าใจในการส่งต่อ เขาก็เลยสนับสนุนซึ่งกันและกัน แต่ว่าวงการเพลงไทย มันเหมือนเป็นเกมจับผิด คนพยายามจะลากลง เห็นใครดีไม่ได้ อะไรก็ตามบนโลกใบนี้เราก็มองเป็นแง่ร้ายได้ทั้งนั้น เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เด็กทารกจะพูดได้ยังไงถ้าไม่เลียนแบบการพูดกับพ่อแม่ เห็นไหมเราก็แทบไม่มองเป็นแง่ร้าย แต่พอมันเป็นเพลง มันมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามา คนไปจับต้องที่ว่ามันขายได้ ก็เลยบอกว่ามันก็อปปี้ ไม่ได้คิดเอง จริงๆ แล้วมันไม่มีทางด้วยซ้ำที่จะไม่มีทางใกล้เคียงกับผลงาน
กัปตัน : อย่างผมที่เรียนดนตรีมา อาจารย์จะบอกตั้งแต่แรกแล้วว่า มันเป็นการ Inspiration ถ้าบอกว่าก็อปปี้มันก็จะเป็นทางลบ ก็เลยเป็นแรงบันดาลใจมากกว่า
กัน : ดนตรีก็เหมือนการทำเลียนแบบธรรมชาติ จริงๆ มันก็เริ่มต้นจากการเป่าโน้นเป่านี้ให้มันเป็นเสียง คือเราเลียนแบบต่อๆ กันมาเรื่อยๆ ให้แรงบันดาลใจต่อกันมาเรื่อยๆ แม้กระทั่งในวงการวิชาการหรือที่เขาทำวิจัย ก็เหมือนกับเวลาที่เราจะต่อยอดความรู้ มันก็ต้องมีอ้างอิง ผมว่ามันเป็นแนวคิดคล้ายๆ กัน เหมือนว่าศิลปะอันนี้ไม่ได้ถูกมองเป็นมุมอย่างนี้เท่านั้น จึงมีการพัฒนาเกิดขึ้น
พัด : พูดในแง่ของคนที่แต่งเพลง ผมว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเรา เวลาเราแต่งออกมา มันคือสิ่งที่สะท้อนออกมาจากองค์รวมทั้งหมดที่เราฟังมาทั้งชีวิต เหมือนเพลงที่เราอาจจะเคยฟังตอน 9 ขวบ ในวันหนึ่งมันก็เป็นส่วนหนึ่งที่หลุดออกมาในเนื้อเพลงในเวลาที่เราแต่งเพลง แต่ ณ ตอนที่เราแต่งเพลง ผมเชื่อว่าศิลปินทุกคน จุดมุ่งหมายเขาก็แค่ต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่าง มันไม่ได้ต้องไปนั่งคิดหรอกว่าต้องไปก็อปคนนี้ ไปก็อปคนนั้นดีกว่า เหมือนเราอยากจะเล่าเรื่องนี้มันก็ไหลออกมา ทั้งหมดที่มันอยู่ข้างใน
ปาล์ม : คือส่วนสำคัญในงานเพลงคือเรื่องที่เราอยากจะสื่อสารอะไรมากกว่า แล้วในส่วนอื่นมันก็ต้องเป็นการเลี่ยนแบบอยู่แล้ว เท่านั้นเอง
ปิดท้ายบทสัมภาษณ์ครั้งนี้กันด้วยซิงเกิลใหม่ล่าสุดของวง MEAN กับเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวตนของพวกเขา ผสมผสานกับเสน่ห์ของดนตรีไทย จนได้เพลงเพราะติดหูในชื่อ “ใครเริ่มก่อน” เพลงนี้ …แล้วอย่าลืม! ติดตามผลงานของพวกเขาได้ที่ www.facebook.com/meanband หรือ Youtube channel : MEAN BAND
ขอบคุณสถานที่ : Pacamara ทองหล่อ 25