เบล-สุพล ผู้ทำลายกำแพงความกลัว…ท้าทายสู่ดินแดนที่เรียกว่า “ความฝัน”

เบล-สุพล ผู้ทำลายกำแพงความกลัว…ท้าทายสู่ดินแดนที่เรียกว่า “ความฝัน”

อะไรที่ทำให้เด็กไม่กล้าแสดงออกคนนึงมีแรงผลักดัน อะไรที่ทำให้เขากล้าเอาชนะความกลัว อะไรที่ทำให้เขาได้มายืนอยู่บนดินแดนที่เขาเรียกว่า “ความฝัน” และอะไรที่ทำให้ทุกคนรู้จักเขาในนาม เบล-สุพล พัวศิริรักษ์ นักร้องเจ้าของเสียงอันอบอุ่น ที่มองการร้องเพลงเป็นความสุขและไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง

วันนี้เราจะพาทุกคนไปพูดคุยกับเบล-สุพล พัวศิริรักษ์ เจ้าของบทเพลงฮิตอย่าง ไม่ธรรมดา, แสนล้านนาที, ตอบได้ไหมว่า…ได้ไหม และล่าสุดกับบทเพลงฉันไม่รู้

ตอนเด็กๆ เป็นเด็กที่ชอบฟังเพลงมาก อาจจะได้รับอิทธิพลมาจากคุณพ่อที่ชอบเปิดเพลงให้ฟัง เล่นเครื่องเสียง เก็บแผ่นเสียงอยู่แล้ว โตมาในบรรยากาศที่พ่อแม่ชอบฟังเพลง ดูดนตรีสดตามโรงแรม เลยเป็นการปลูกฝังให้เราชอบซื้อเทป ซื้อซีดี มาเรื่อยๆ แล้วก็เริ่มมาใกล้ชิดกับดนตรีมากขึ้นตอนประมาณ ป.4 ที่โรงเรียนจะมีการสอบร้องเพลง คุณครูก็เลือกคนที่ได้คะแนนดีๆ ให้เป็นนักร้องของโรงเรียนมันก็ทำให้เราได้ซ้อมดนตรีกับวงดนตรีตั้งแต่ตอนนั้น จากที่ชอบร้องเพลงอยู่บ้านคราวนี้ก็ได้มาร้องเพลงกับวงดนตรี ได้ขึ้นเวที ซึ่งตอนนั้นก็ทำให้ได้รู้ว่าถึงแม้จะชอบร้องเพลงมากขนาดไหนแต่ก็ไม่ชอบที่จะต้องไปยืนอยู่บนเวทีแล้วร้องให้คนอื่นฟัง เรามีความสุขกับการร้องเพลงคนเดียว ร้องเล่นๆ แต่การขึ้นไปบนเวทีแล้วมีคนมาจ้องเรา มองเรา รู้สึกว่ามันเป็นความทรมาน จึงเกิดเป็นความขัดแย้งในตัวเองว่าเราชอบเพลงร้อง…แต่ไม่ชอบร้องเพลงต่อหน้าคนอื่น

คงจะเป็นอย่างนั้นครับ ขี้อาย ไม่มั่นใจ ถ้าอยู่คนเดียวชอบร้องเพลงมากแต่พอต้องขึ้นไปโชว์บนเวทีก็จะรู้สึกไม่มั่นใจ แต่มันก็ทำให้เราได้ฝึก ได้อยู่ใกล้ชิดกับดนตรี ได้ท้าทายตัวเองบนเวทีตั้งแต่เด็กๆ พอเข้ามาช่วงมัธยมก็เปลี่ยนใจไปตีกลองเพราะตอนนั้นเป็นยุคอัลเทอร์เนทีฟพอดี ก็ตีกลองแบบสนุกๆ แล้วก็ร้องเพลงของเรามีความสุขไปเรื่อยๆ

จนมาถึงช่วงมหาวิทยาลัยได้กลับมาร้องเพลงอีกครั้งแล้วรู้สึกว่ามีคนที่ตีกลองได้ดีกว่าเรา และสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดคือการร้องเพลง จึงตัดสินใจกลับมาร้องเพลงละกัน (หัวเราะ) นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เพื่อนมองเห็นความสามารถแล้วชวนมาทำเพลงที่แกรมมี่ ได้มีโอกาสเข้ามาคุยและรู้จักกับพี่ๆ ที่แกรมมี่ จนได้ทำอัลบั้ม ตอนนั้นออกเป็นวงก่อนชื่อวงพาย มาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 11 ปีแล้วครับ

เป็นความฝันนะ เพราะกว่าที่จะกล้าตัดสินใจไปบอกเพื่อนว่าอยากเป็นนักร้องก็รวบรวมความกล้าอยู่นาน เมื่อก่อนเป็นคนแบบชอบแต่ก็เก๊ก เก็บความรู้สึกจนไม่อยากแสดง (หัวเราะ) แล้วก็ไม่ใช่ยุคที่มีการประกวดอะไรมาก วันนึงจึงเกิดคำถามกับตัวเองว่าเรียนจบไปอยากทำอะไร ชีวิตนี้อยากทำอะไรมากที่สุด คำตอบของเราคืออยากร้องเพลง อยากมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ก็เลยตัดสินใจรวบรวมความกล้าไปบอกเพื่อนว่าจริงๆ เราอยากร้องเพลงมากแค่ไหน

จนเข้ามาในแกรมมี่ก็ยังไม่กล้าแสดงออกอยู่ดี ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของเราอยู่เวลาเล่นคอนเสิร์ตแต่ละครั้งก็จะทรมาน กังวลว่าเพลงจบแล้วต้องทำยังไงต่อ ต้องคุยอะไร พูดอะไร เราก็ต่อสู้ความกลัวนี้อยู่นานมาก จุดเปลี่ยนมันอยู่ตอนที่ได้เป็นศิลปินเดี่ยวนี่แหละครับ เริ่มเห็นเพื่อนๆ พี่ๆ ที่นอกจากเขาจะร้องเพลงดีแล้วยังเอนเตอร์เทนเก่ง เราก็ต้องพัฒนาตัวเอง อยากทำให้มันดีขึ้น อาจจะไม่ได้เก่งมากมายเท่าคนอื่นแต่อย่างน้อยมันก็ต้องพัฒนาขึ้นจากจุดเดิมที่เรายืนอยู่ อันนั้นเป็นจุดเปลี่ยนมากกว่า พอได้เห็นคนอื่นที่เขาเก่งๆ แล้วเรารู้สึกว่าอยากอยู่ตรงนี้ไปนานๆ จะต้องทำยังไง? คำตอบของมันก็คือการพัฒนาตัวเอง แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องขอบคุณมากที่สุดคือโอกาสที่ได้เข้าไปเป็นดีเจที่ Chill FM ซึ่งช่วยเรื่องการพูดได้ดีมากครับ

แตกต่างไปตามช่วงเวลาเลยครับ อย่างตอนแรกๆ ที่ทำเพลงเราไม่สนใจอะไรเลยนอกจากความต้องการของตัวเอง เราอยากจะนำเสนออะไร เราคิดว่าอะไรคือตัวเรา อะไรสื่อสารความเป็นตัวเราได้ดีที่สุด คิดถึงแต่ตัวเอง มองตัวเองเป็นหลัก ก็ทำตามนั้นเลยครับ (หัวเราะ) แต่ก็ยังโชคดีที่เรามีพี่ๆ มีโปรดิวเซอร์คอยช่วยดูภาพรวมว่าอันไหนมันมากไป น้อยไป

พอช่วงต่อมาก็จะเริ่มรู้สึกว่าการทำเพลงไม่ได้ทำไว้ฟังคนเดียวก็เริ่มนึกถึงคนฟังมากขึ้น จนไม่ได้มองว่าตัวเองต้องการอะไร จึงต้องกลับมาคิดใหม่ หาความพอดี จนเมื่อ 2 ปี ที่แล้วเริ่มรู้สึกว่าอยากลองทำตามใจตัวเองอีกครั้งอาจจะเพราะเราอยู่จุดนี้มานานพอสมควร ไม่มีแรงบันดาลใจที่จะทำงานใหม่ๆ จึงเริ่มกระโดดออกไปนอกกรอบทำเพลงตามใจตัวเองแบบสุดๆ จนออกมาเป็นเพลง “ตัวละครลับ” ซึ่งเป็นงานที่เราแฮปปี้มากแต่มันก็ทำให้เรากลับมามองใหม่ว่าบางทีเราจะมองแค่ตัวเองอย่างเดียวไม่ได้ จึงเริ่มกลับมาหาความพอดีอีกครั้งครับ

ความสุขของเราตอนนี้คือการยังได้ทำเพลงอยู่ แล้วก็มีชีวิตที่เราพอใจในรูปแบบการใช้ชีวิตที่รู้สึกว่ามันพอดีกับตัวเรา การงานที่ยังมีอะไรให้เราทำอยู่เรื่อยๆ รู้สึกว่าเป็นช่วงชีวิตที่ลงตัวมากขึ้น เริ่มเจอคำตอบหลายๆ ที่พยายามค้นหา เริ่มรู้สึกว่าเป็นช่วงขีวิตที่มันนิ่งขึ้นเหมือนเราเจออะไรบางอย่างที่เราอยากทำให้มันดีขึ้นและพัฒนาให้มันดีขึ้นต่อไปนั่นก็คือการร้องเพลงครับ

สำหรับผมการได้เข้ามาทำเพลงตอนแรกมันเหมือนความฝัน เป็นดินแดนที่เราไม่เคยได้ไปเหยียบ แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเรามีสิทธิ์จะได้เข้าไปไหม เหมือนความฝันของเด็กหลายๆ คนที่อยากจะเข้ามาในวงการเพลง พอได้เข้ามาแล้วเราก็ดีใจมากที่ได้ทำในสิ่งที่เราเคยฝัน ซึ่งพอเข้ามาจริงๆ มันก็ท้าทาย มีงานหนักรออยู่ในทุกๆ Stage เราไม่สามารถที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ได้เลยต้องแอคทีฟตลอดเวลา จนบางครั้งก็มีหลายๆ Stage ที่เราเดินช้าจนกดดันตัวเอง มองตัวเองแล้วเอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

แต่พอมาถึงจุดนึงเราก็กดดันตัวเองน้อยลง ให้เรามีความสุขไปกับการเดินทางดีกว่า เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่รู้ว่าเส้นทางนี้มันจะไปจบลงตรงไหน แค่บอกตัวเองเสมอว่าเรารักอาชีพนี้ เราจะไม่ทำอะไรชุ่ยๆ ไม่ทำอะไรที่ต่ำกว่าเส้นมาตราฐาน ต้องทำให้งานมีคุณภาพที่ดีขึ้นไปตามระยะเวลา เพราะฉะนั้นเราก็คงจะพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็คงไม่กดดันตัวเองเหมือนที่ผ่านมา

มันก็มีมุมนี้บ้างนะ แล้วก็มีมุมอื่นๆ อย่างบุคลิกในเพลงเราก็เป็นคนแบบนั้นแหละในมุมที่เราต้องโรแมนติกก็มีบ้าง แต่ในมุมเฮฮาบ้าบอ มุมที่คนอื่นๆ ไม่ค่อยได้เห็นก็มี เวลาอยู่กับเพื่อนก็เฮาฮาไปอีกแบบ แต่ด้วยกาละเทศะ หรือเวลาที่ต้องพรีเซนต์เพลงก็จะเป็นอีกบุคลิกนึง

จริงๆ แล้ว ผมไม่รู้เหมือนกันว่าความสำเร็จจะต้องเอาอะไรมาวัด ตั้งแต่วันแรกที่ได้เริ่มเข้าวงการจนถึงวันนี้ผมรู้สึกว่าขอบคุณมากแล้ว ตอนแรกคิดแค่ว่าอยากทำความฝันของให้เป็นจริงแต่ไม่ได้คิดว่าสิ่งนี้มันจะเป็นความจริงและเป็นอาชีพจนมาถึงทุกวันนี้ ก็เลยรู้สึกว่าการที่เรายังอยู่ตรงนี้และยังมีทุกคนรอฟังเพลงอยู่ มีคนที่จะทำงานร่วมกับเราอยู่สำหรับส่วนตัวผมถือว่าประสบความสำเร็จมากแล้วที่สามารถมีอาชีพในฝันแล้วก็สามารถทำมันได้ถึงทุกวันนี้ ที่เหลือผมก็มองว่าเป็นโบนัส เป็นกำไรมากกว่า

แผ่นเสียงก็ยังสะสมอยู่ครับ เป็นดีเอ็นเอที่คุณพ่อถ่ายทอดมา เราก็ยังเป็นคนที่ชอบสะสมแผ่นเสียงแล้วก็ซื้อแผ่นเสียงเก็บมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว (หัวเราะ) จริงๆ ผมเป็นคนบ้าสะสมของตั้งแต่เด็กแล้วครับ แต่ปีนี้แหละตั้งใจที่จะมินิมอลทุกอย่างลงบ้างเพราะมารู้ตัวอีกทีของผมเยอะมากครับ

อย่างตอนนี้ที่ยังสะสมอยู่ก็มีแผ่นเสียง ก่อนหน้านี้ก็คงเป็นยุคซีดีซึ่งยังคงสะสมอยู่แต่ไม่ค่อยได้ซื้อ แล้วก็มีไวนิลทอยด์ครับ พวกของเล่นที่เป็นดีไซเนอร์ทอยด์มันเป็นเหมือนงานศิลปะในรูปแบบของเล่น มีไว้ตั้งโชว์มากกว่า ตัวอย่างที่คนคุ้นตาที่สุดก็น่าจะเป็น BE@RBRICK แต่มันก็ยังมีประเภทอื่นๆ ด้วย น่าจะเป็น 2 สิ่งนี้แหละที่สะสมและยังคงเพิ่มจำนวนอยู่เรื่อยๆ

ถ้าในวงการคงจะเป็นพากษ์การ์ตูนครับ (หัวเราะ) คือจริงๆ อาชีพอีกอย่างหนึ่งของผมคือการอ่านสปอต ก็ต้องของคุณเอไทม์อีกครับ พอเป็นดีเจเลยได้มีโอกาสมาทำตรงนี้ซึ่งผมรู้สึกว่ามันสนุกและท้าทายดี เราไม่รู้ว่าวันนี้เราจะได้อ่านอารมณ์ไหน คาแร็กเตอร์อะไร ทุกครั้งมันก็เหมือนเราได้เล่นละครเล็กๆ แต่อีกสิ่งหนึ่งที่อยากทำก็คือการพากษ์การ์ตูนนี่แหละครับ

ชอบเที่ยวครับ จริงๆ ชอบเที่ยวมาก แต่ด้วยงานที่ผ่านมาพอจะเที่ยวก็กังวลไม่กล้าเที่ยวขอรับงานก่อน ช่วงที่ผ่านมาเลยตั้งใจว่าจะเที่ยว นี่ก็เพิ่งกลับจากไอซ์แลนด์ อังกฤษ นอว์เวย์ ไปมา 20 วัน พาร์ทเที่ยวก็จัดเต็มเหมือนกันครับ (หัวเราะ) แล้วที่ตั้งใจอยากจะลดของสะสมก็เพราะเสียดายเงินครับ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าเอาเงินไปเสียกับประสบการณ์ชีวิต เอาตัวเองออกไปเที่ยวมันคุ้มค่ากว่ามากๆ คิดว่าหลังจากนี้คงไปเที่ยวตลอดไปในที่ที่ไม่เคยไป ไปหาประสบการณ์หรือไปรีเฟรชตัวเองดีกว่าครับ

ซิงเกิ้ลของผมที่เพลงนี้ได้ร่วมงานกับรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกัน น้องเขาเก่งมากแล้วก็กำลังมาในช่วงนี้ ก็คือ The toy ครับ น้องทอยมาแต่งเมโลดี้ ผมเขียนเนื้อกับน้อง แล้วก็มีโอม ค็อกเทล มาเป็นโปรดิวเซอร์ ได้ฟังกันแน่นอน

 

Story : Babiw
Photo : อรรณพ อาจหาญ, IG: Bell_Supol

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.