ฝ้าย – ชาลิสา : ก้าวตามฝันกับแบรนด์รองเท้าผ้าใบสื่อวัฒนธรรมไทย (1/2)

คุณเชื่อในคำว่า ” Sustainable ” หรือ “ความยั่งยืน” ไหม? แล้วคุณคิดว่าเราสามารถสร้างความยั่งยืนให้ “วัฒนธรรม” ได้หรือไม่? …ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องการสร้างความยั่งยืนให้กับวัฒนธรรมหรือไม่ แต่วันนี้คุณฝ้าย – ชาลิสา พรมุตตาวรงค์ ผู้เชื่อมั่นในแนวคิดความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนและยังเป็นคนที่มีความรักให้วัฒนธรรมอย่างเต็มเปี่ยม ได้ส่งต่อ ‘วัฒนธรรม’ ในรูปแบบเครื่องแต่งกายใกล้ตัว เพื่อสร้างความยั่งยืนผ่านงานศิลปะบนรองเท้าผ้าใบ ภายใต้แบรนด์ “HORSELEGMARKING” ที่มาพร้อมปณิธานที่ว่า ‘Live in Cultural Consciousness’ กลายเป็นแบรนด์รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นจนเราต้องชวนคุณผู้อ่านไปพูดคุยกับเธอคนนี้

 

…วัฒนธรรมเป็นจุดหนึ่งที่จะนำไปสู่ความเป็นอยู่อย่างยั่งยืนจริงๆ แล้วเราจะทำยังไงให้คนเคารพวัฒนธรรมตัวเอง และเปิดรับวัฒนธรรมคนอื่น

 

• ทำไมต้องเป็นเรื่องวัฒนธรรม?

เดิมทีประเพณีหรือวัฒนธรรมมาจากการที่เขามีแค่ Basic Need คือปัจจัยสี่เท่านั้นเอง แต่เขาพยายามคิดค้นหรือหาวิธีที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของเขาเป็นไปด้วยดี แต่ทุกวันนี้มันน่าเสียดายที่เหมือนเราพยายามที่จะละเลยหรือลืมเลือนวัฒนธรรมไป ต่อไปมันก็จะเริ่มสูญหายไปเรื่อยๆ

อีกอย่างวัฒนธรรมมาจากรากฐานหรือพื้นฐานที่แตกต่างกันของแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว ก็เลยทำให้วัฒนธรรมของเราหลากหลาย ซึ่งถามว่าเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำทุกอย่างให้เป็นสากล ทำให้วัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน ฝ้ายว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่ามันไม่เหมือนกันตั้งแต่พื้นฐานแล้ว ฝ้ายก็เลยมองว่าจะดีกว่าไหม หากเราจะเคารพวัฒนธรรมตัวเอง เปิดรับวัฒนธรรมคนอื่น เพราะฉะนั้นเราสามารถหยิบวัฒนธรรมมาต่อยอดหรือแม้กระทั่งนำมาใช้ในชีวิตจริงของเราได้ นั่นจะเกิดเป็นความยั่งยืนจริงๆ

อันนี้เหมือนไปไกลจากรองเท้ามากๆ แต่ฝ้ายเป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะช่วยส่งต่อวัฒนธรรมนั้น และมองว่าการที่เราสร้างแบรนด์นี้น่าจะให้คุณค่าอะไรออกไปได้ ไม่ใช่แค่การขายของอย่างเดียว เพราะว่ามองว่าสุดท้ายแล้วคือทุกอย่างมันจะยั่งยืน แม้กระทั่งตัวเองก็จะมีความสุขที่ได้ทำสิ่งนั้นๆ ไม่ใช่แค่เราได้เงินมาหรือว่าเลี้ยงชีพไปเท่านั้น

 

• แล้วทำไมถึงเลือกรองเท้าผ้าใบ?

เพราะฝ้ายมองว่าวัฒนธรรมไม่น่าจะอยู่แค่พิพิธภัณฑ์ แค่ในหนังสือ แค่ในสื่อบางอย่างที่คนต้องตั้งใจไปอ่านหรือต้องสนใจอ่านจริงๆ ฝ้ายอยากให้ทุกคนมีโอกาสได้รู้จักสิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นโจทย์ต่อมาว่าฝ้ายจะเอาวัฒนธรรมนี้กลับขึ้นมาได้อย่างไง เอาสิ่งที่กำลังจะหายไปหรือคนเริ่มที่จะเพิกเฉยกับมันแล้ว จะทำยังไงให้มันใกล้กับคนมากขึ้น ก็เลยหนีไม่พ้นของใกล้ตัวเราอย่างเครื่องแต่งกาย

แล้วที่เป็นรองเท้าก็เพราะว่าส่วนตัวชอบรองเท้าผ้าใบและที่ต้องเป็นรองเท้าหุ้มข้อ เพราะอยากได้พื้นที่มากพอที่จะสื่อวัฒนธรรมไปได้ แล้วรองเท้าก็สามารถใส่ได้ทุกวัน มันไม่เหมือนเสื้อผ้าที่ใส่ซ้ำไม่ได้ มันต้องมาซัก แต่รองเท้ามันเป็นอะไรที่สามารถใส่ซ้ำได้ และสิ่งที่มันแตกต่างจากเครื่องแต่งกายอย่างอื่นเลย คือมัน exposed เลย มันชัดเจน เพราะรองเท้ามันเป็นจุดที่ไม่ต้องมีอะไรมาคลุมอีก พร้อมกันนั้นมันเคลื่อนที่ นั่นก็คือมันจะ attract สายตาคนได้ดีที่สุด

• สื่อวัฒนธรรมผ่านรองเท้าผ้าใบอย่างไร?

เจตนาจริงๆ ของฝ้ายคือให้ลูกค้าสัมผัสได้ว่าเราพยายามเอาวัฒนธรรมมาบอกเล่านะ จึงเป็นที่มาของ Motto ของเราว่า Live in Cultural Consciousness ดังนั้นฝ้ายเลยหยิบเอา ‘รถอีแต๋น’ มานำเสนอ และที่เป็นรถอีแต๋นเพราะว่าเป็นความผูกพัน เพราะตอนเด็กฝ้ายอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ เลยมองว่าอยากให้คอลเลกชั่นแรกเป็นพื้นที่ตรงนั้น เป็นที่ที่เราเคยอยู่

ขอเล่าก่อนว่า ในปัจจุบันนี้ชาวไร่ชาวนาเขาเริ่มหันไปใช้รถโมเดิร์นมากขึ้น อย่างรถกระบะอะไรอย่างนี้ ซึ่งมันก็ไม่ผิดนะคะ แต่เรามองว่ารถอีแต๋นเหมาะกับการใช้งานของเกษตรกร บางทีเขาเรียกรถอีแต๋นว่ารถอเนกประสงค์ เพราะมันเป็นทุกอย่างของเขา ไม่ใช่แค่ยานพาหนะที่บรรทุกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรซึ่งมันหนักมาก กระทั่งรถกระบะปัจจุบันก็ไม่สามารถรับได้มากขนาดนั้น หรือแม้บางทีอายุการใช้งานก็ไม่ได้ยาวนานเท่ารถอีแต๋น อย่างที่ฝ้ายไปทำ research มา แม้กระทั่งรถอีแต๋นมือสอง เขาก็ยังขายต่อได้ซึ่งรถคันนั้นก็มีอายุ 30-40 ปี ได้ ซึ่งหมายความว่าเขาก็ยังใช้งานรถคันนั้นได้อีก อายุการใช้งานจึงยาวมาก อีกอย่างหนึ่งรถอีแต๋นเขามีแค่เครื่องยนต์เครื่องเดียวที่ใช้ขับเคลื่อน และชาวนาก็ใช้เครื่องยนต์เครื่องเดียวนี้ในการปั้มน้ำด้วย เพื่อสูบน้ำเข้าท้องไร้ท้องนาเพื่อปลูกข้าว ลองนึกสภาพตอนที่เขาปลูกข้าว เขาใช้น้ำเยอะมาก แต่ว่าเขาสามารถใช้เครื่องยนต์แค่เครื่องเดียวนี้มาปั้มน้ำแล้วยังใช้ขับเคลื่อนรถได้อีก ฝ้ายไม่อยากจะให้รถอย่างนี้มันเลือนหายไป ฝ้ายอยากให้แนวคิดของรถคันนี้ยังอยู่

ฝ้ายอยากจะพูดว่ารถอีแต๋น มันมีประโยชน์ยังไง ไม่ใช่แค่ว่าเราเห็นว่ามันเด่นเท่านั้นเอง เราก็เลยหยิบ 3 สิ่งใหญ่ๆ คือ (1) ใช้เป็นยานพาหนะ (2) ใช้บรรทุกของ ทนทานมาก เหมาะกับการขนย้ายผลผลิตที่หนักเป็นตันๆ ได้เลย และ (3) เป็นเครื่องปั้มน้ำ ที่นำความอุดมสมบูรณ์มาให้กับชาวไร่ชาวนา และจากจุดนี้เวลาเจอลูกค้าทั้งต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันเองก็ได้รู้จักรถอีแต๋นมากขึ้น เพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วคนที่มาเยี่ยมชมหรือมาอุดหนุนรองเท้าของเราได้ใส่รองเท้าของเรา เขาก็ได้คำว่าอีแต๋นออกไปด้วย อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่ฝ้ายรู้สึกว่าได้ทำให้คนรู้จักรถอีแต๋นผ่านรองเท้านี้จริงๆ

อย่างที่บอกแบรนด์ฝ้ายไม่ได้เริ่มจากความคิดว่าเราจะต้องทำกำไรได้เท่าไร เราจะต้องขายให้ได้ยังไง ทำยอดให้ได้เท่าไร มันก็เลยเป็นไปตามที่ว่าฝ้ายชอบ ฝ้ายอยากให้เนื้อผ้ามันดียังไง วัสดุเป็นยังไง แต่คนที่เขามาสัมผัสงานเรา เขาจะรับรู้ได้ แล้วเขาก็จะกลับมาอีกแน่นอน อย่างตอนนี้ลูกค้าไม่ได้มาซื้อของเราอย่างเดียว เขาแนะนำคนอื่นให้มาซื้ออีก อันที่ชื่นใจก็คือว่า เขาบอกต่อแนวคิดเรา เขาส่งต่อตรงนั้น มากกว่าแค่ใส่รองเท้าโชว์คนอื่น

• ลวดลายบนรองเท้าก็เป็นวิธีเล่าเรื่องรถอีแต๋นแบบหนึ่งใช่ไหม? 

ใช่ค่ะ รถอีแต๋นก็เป็นไอเดียหนึ่งของลวดลายบนรองเท้า แต่ลวดลายที่เห็นเราไม่ใช่ลอกลายจากรถอีแต๋นมาเลย แบบว่าศิลปินเขาทำอย่างไร เราก็ลอกเขามาเลย อันนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราทำ เพราะหากเราจะสื่อสารออกไปแล้ว ไม่ใช่แค่ความสวยงาม เราต้องคิดให้มากกว่านั้น รองเท้าฝ้ายก็เลยเหมือนมีความคิดลงไปในนั้นด้วย

ถ้าเราสังเกตลวดลายของเขา หลายๆ คันเขาจะชอบลงลายนกเหยี่ยว รูปเพชร รูปดอกไม้ รูปผีเสื้อ แต่งานของเขาจะไม่ใช่งานเพ้นท์เสมือนจริง คือจะไม่ได้เห็นเป็นตัวนกเหยี่ยวชัดๆ แต่จะใช้รูปเลขาคณิตมาเกี่ยวด้วย อย่างสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม วงกลม แล้วก็มีสีสันเด่นมาก โดยลายของเขาจะเน้นความเป็นเลขาคณิตและความสมมาตรที่จะเท่ากันหมด ฝ้ายเลยหยิบลายและวิธีคิดของศิลปินพื้นถิ่นมาตัดทอน ทำยังไงให้เข้าใจง่ายมากที่สุด ทำยังไงก็ได้ให้มันบอกเล่าได้ด้วย เลยกลายมาเป็นลวดลายบนรองเท้าอย่างที่เห็น แล้วรองเท้าทุกคู่ของฝ้ายก็มีเรื่องราวมีชื่อเป็นของตัวเอง

Circular Butterfly and Flowers

• ยกตัวอย่างรองเท้าสักสองคู่ได้ไหม?

อย่างคู่นี้ชื่อ Circular Butterfly and Flowers ฟังก็ดูรู้แล้วว่ามันเกี่ยวอะไรกับวงกลมแน่นอน แล้วก็เกี่ยวอะไรกับดอกไม้ ผีเสื้อ คือคู่นี้เป็นรองเท้าคู่แรกเลยที่ฝ้ายต้องคิดว่าจะลงสีสันยังไง จะสร้างความสมมาตร วิธีการ ใช้เลขาคณิตยังไง ซึ่งฝ้ายพยายามดึงความเป็นผีเสื้อที่เด่นชัดของลายรถอีแต๋นออกมา แต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นสมมาตรของลายที่สามารถพับหากันได้ และที่ต้องเป็นวงกลม เพราะว่าเราอยากจะบอกเล่าถึงความอุดมสมบูรณ์ที่รถอีแต๋นให้กับชาวไร่ชาวนา อีกอย่างวงกลม สำหรับฝ้ายมันบอกความอุดมสมบูรณ์ได้ดีที่สุด คู่นี้ฝ้ายก็เลยเน้นเป็นวงกลมที่ทำยังไงให้ลายผีเสื้อกับดอกไม้มาวางให้เป็นวงกลม ก็เลยออกมาเป็นลายนี้

หรือรองเท้าคู่สีดำ Soil and Sun ซึ่งคู่นี้เป็นคู่พิเศษที่เราเสริมขึ้นมาจากรถอีแต๋น เพราะว่าเรากำลังบอกเล่าถึงสภาพแวดล้อมของรถอีแต๋น ลองนึกถึงท้องไร้ท้องนาเวลาที่พระอาทิตย์ตกคือทุกอย่างจะโดนเงาเป็นสีดำหมด แต่มันจะมีเลเยอร์ของความดำ เพราะฉะนั้นเราก็เลยหยิบเอาไอเดียของ Monochromatic Black เล่นสีดำในการดีไซน์ แต่ไม่ใช่สีดำเพียวๆ เรายังมีการเล่นกับแสงกับเงา เวลาคนใส่เดินมันจะขึ้นเป็นลาย แล้วลายเราก็แกะมาจากรถอีแต๋นที่เราตัดทอน เราออกแบบในสไตล์เรา สีแดงที่แทรกอยู่ข้างในคือ เราอยากจะสื่อถึงแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ ซึ่งสีแดงเราก็ใช้เป็นสีพิเศษที่มันจะคล้ายๆ สีแดงหมาก เราอยากให้เหมือนเป็นแสงอาทิตย์สุดท้าย เพราะเราอยากจะบอกเล่าถึงสภาพแวดล้อมด้วย

อีกอย่างรองเท้าเราจะทำ 22 แบบเท่านั้น โดยมีคู่ limited edition คือ Paddy Field and Rice ตัวนี้จะทำเป็นตัว absolute siam คู่นี้จะบอกว่าสิ่งที่เป็นผลพลอยได้ที่ได้จากการมีรถอีแต๋นก็คือ ผลผลิตทางเกษตร นั่นก็คือการปลูกข้าว ซึ่งคู่นี้ใช้วัสดุมาตีความหมดเลยค่ะ อย่างข้างในจะเป็นสีทองก็แทนรวงข้าว ข้างนอกเป็นสีเขียวอ่อนก็เหมือนแทนทุ่งนา ฝ้ายเชื่อว่าทุกคนมีความแตกต่าง แต่เราจะทำอย่างไงถึงใช้ความแตกต่างให้เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นเหมือนฝ้ายเน้นย่ำว่าความหลากหลายจริงๆ มันเป็นอะไรที่สำคัญ

Soil and Sun

• เลือกใช้สีสะท้อนแสงเปรี้ยวจี๊ดแบบนี้ ลูกค้าจะกล้าใส่หรอ?

ลูกค้าที่เข้ามาก็รู้สึกตกใจนะ แต่เขาเห็นเราใส่ เห็นว่ามันสวย แต่เขาจะติดนิดนึงว่าเขาจะใส่ได้ไหม เพราะว่ามันใส่ยากนะ แต่งานของฝ้ายมันจบตั้งแต่เราคิดตั้งต้นแล้วว่าจะเอาสีไหน เฉดไหน โทนไหนมาอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นเวลาลูกค้าใส่จะรู้เลยว่ามันแต่งตัวไม่ยาก เพราะสีมันกลมกลืนไปด้วยกันอยู่แล้วค่ะ ไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าสีนี้มันโดดเด่นขึ้นมาหรือรู้สึกแปลก แต่มันจะกลายเป็นว่ามันทำให้เขาสนุกกับการแต่งตัว มีความสุขกับงานที่เขาได้รับไป เพราะว่าทุกคนเขาค่อนข้างจะเข้าใจอยู่แล้วว่ารองเท้าฝ้ายมันเป็นเอกลักษณ์ เหมือนคล้ายๆ รองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าของเขา เพราะว่าเวลาตัดเราอยากให้มันสวยในแต่ละคู่ ในแบบที่มันเป็น

แล้วทำไมต้องเป็นสีสะท้อนแสง เพราะว่าถ้าดูจากต้นแบบรถอีแต๋น เราจะเห็นสีสันมาแต่ไกลเลย ซึ่งเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้ฝ้ายต้องใช้มีสะท้อนแสง อีกอย่างคือฝ้ายดีไซน์มาแล้วว่ารองเท้าของฝ้ายมันต้องสวยทั้งแบบใหม่และแบบเก่า เพราะฉะนั้นคู่ที่เก่าที่สุดของฝ้าย สีสันมันตัดกับความเขรอะ เวลาใช้งานไปนานมันก็จะเป็นแบบสีพาสเทลสะท้อนขึ้นมาตัดกับความเขรอะ นั่นก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ว่าทำไมรุ่นท็อปของเราที่บอกเล่าเรื่องรถอีแต๋นถึงต้องเป็นสีจัดจ้านแบบนี้

 

• ด้วยรองเท้าที่มีเอกลักษณ์มาก ลูกค้าเป็นคนกลุ่มไหนบ้าง?

ลูกค้าที่เข้ามาซื้อรองเท้าของเรา เขาจะค่อนข้างชัดเจนมาก บอกได้เลยว่ามาจากหลากหลายอาชีพ ไม่ใช่แค่มาจากวงการศิลปะ ดีไซน์ แต่บางคนเป็นพยาบาล เป็นพนักงานแบงก์ ซึ่งมันเป็นความตั้งใจของเขาจริงๆ เป็นสิ่งที่ดีเหมือนศิลปะ มันเป็นภาษาที่เปิดกว้าง เป็นภาษาที่ทุกคนเข้าถึงกันได้ นั่นก็เลยทำให้รู้สึกอิ่มใจอย่างหนึ่งว่า รองเท้าฝ้ายเหมือนทำให้เราได้แลกเปลี่ยนอะไรกับคนอื่น ซึ่งปกติเขาอาจจะไม่ได้คลุกคลีด้วยตัวงานของเขาเอง แต่จริงๆ เขามีมุมที่เขาชอบศิลปะ ชอบงานดีไซน์นะ ถ้าเขาแต่งตัวมาวันหยุดดูไม่ออกเลยว่า เฮ้ย! คนนี้เป็นพยาบาล คนนี้เป็นพนังงานแบงก์ แต่ก็ดีใจที่เขาชอบงานของเรา เหมือนได้แบ่งปันกัน แล้วเขาก็ได้ใช้งานรองเท้าเราจริงๆ

 

…เป็นสิ่งที่ดีเหมือนงานศิลปะ มันเป็นภาษาที่เปิดกว้าง เป็นภาษาที่ทุกคนเข้าถึงกันได้ นั่นก็เลยทำให้รู้สึกอิ่มใจอย่างหนึ่งว่า รองเท้าฝ้ายเหมือนทำให้เราได้แลกเปลี่ยนอะไรกับคนอื่น

 

• นอกจากลวดลาย สีสันที่ใช้สื่อไอเดียแล้ว ยังใส่แนวคิดอะไรลงไปอีกไหม?

โดยหลักๆ แล้ว งานของเราจะเน้นงานมือด้วยความที่ฝ้ายอยากจะเน้นลวดลาย เน้นสีสะท้อนแสงเลยต้องเป็นงานมือหมด มันไม่สามารถใช้ดิจิตอลปริ้นได้ แต่อันนี้ถ้าขายแค่รองเท้าผ้าใบ คนเขาจะไม่ทำกันขนาดนี้ แต่สำหรับฝ้ายเอง อยากให้มันเป็นมากกว่านั้น เราเลยทำลายด้วยมือและทำทีละครั้ง นั่นหมายความว่าเราต้องผสมสีเองทีละสี ทีละครั้งเลย ฝ้ายจะเป็นคนคอนโทรลสีเอง เพราะถ้าผิดเฉดผิดโทน มันจะน่าเกลียดมากเลยเวลามันมารวมกัน ส่วนทรงรองเท้าจะดูเป็นวินเทจอยู่แล้ว เพราะฝ้ายอยากให้ดู simple มากๆ ซึ่งจริงๆ แล้วคนใส่เขาจะรู้เลยว่ารองเท้าของฝ้ายมันไม่เหมือนกับรองเท้าหุ้มข้อทั่วไป มันมีการปรับอะไรหลายอย่างให้มันสบาย

รองเท้าของเราจะไม่ติดโลโก้ ไม่ติดสัญลักษณ์ข้างนอก เพราะอยากใช้พื้นที่กับการทำลวดลายทั้งหมด เราก็เลยใช้แค่สัญลักษณ์ด้านหลัง ซึ่งในคอลเลกชั่นนี้รองเท้าทุกคู่จะแทนด้วยหนังกลับข้างเดียว เป็นความตั้งใจว่าอยากให้รองเท้าข้างหนึ่งเป็นแบบนี้ เพราะว่าอยากจะทิ้งสเปซเอาไว้ อย่างชื่อแบรนด์ว่า HORSELEGMARKING ถ้าวรรคก็คือ Horse Leg Marking ซึ่งมีความหมายว่า “ขาม้า” เป็นรูปพรรณสัณฐานที่ขาม้า คือว่าม้าแต่ละตัว เขาจะมีปลอกขนขาสีขาวที่ขาไม่เหมือนกัน แม้กระทั่งตัวเดียวกันเองขาสี่ขาก็จะมีจุดไม่เหมือนกัน เหมือนเราที่มีปานมีตำหนิที่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันเลยบ่งบอกความเป็นตัวตนของม้า เป็น Identity เป็นตำหนิที่เจ้าของสามารถใช้บ่งบอกม้าแต่ละตัวได้ เราเลยทำสัญลักษณ์นี้ไว้ เพราะเราอยากให้ตรงนี้เป็นพื้นที่ว่าง เราเลยไม่ได้ใส่ลายลงไป เพื่อคนที่สวมใส่เองจะทำเลอะหรือว่าจะแต้ม จะทำอะไรก็ได้กับหนังกลับบริเวณนี้ ให้เป็นตัวเขามากที่สุด พื้นที่ตรงนี้ก็เลยไม่ใช่สัญลักษณ์ของแบรนด์แล้วนะ แต่จริงๆ มันเป็น Marking ของคนด้วย เหมือนเป็นตำหนิของแต่ละคนด้วย

 

อีกอย่างงานของฝ้ายต้องไปพร้อมกันทั้งดีไซน์แล้วก็ฟังก์ชั่น อย่างที่ฝ้ายพยายามทำให้มันใกล้ตัวคน ไม่ใช่แค่เอางานศิลปะมาวางโชว์เท่านั้นหรืออยู่กับที่เท่านั้น แต่เราก็ต้องทำให้เขาได้ใช้งานจริงๆ แล้วในเมื่อมันเป็นรองเท้าแล้ว สุดท้ายคนก็อยากซื้อรองเท้าไปใส่ใช่ไหมคะ ฝ้ายก็มองว่ามันเหมือนเปิดโอกาสให้คนได้ใกล้กับวัฒนธรรมมากขึ้นด้วย เพราะว่าบางคนมันก็ไม่ได้อินขนาดแบบว่าฉันจะซื้อภาพวาดไปติด แต่ฉันรู้สึกว่าอันนี้ฉันได้ใช้งานได้จริงๆ แล้วนั่นมันก็เป็นจุดหนึ่งที่ฝ้ายมองว่าก็ต้องให้เขาใช้งาน ไม่งั้นคนก็จะไม่เห็นความเป็นอีแต๋นที่มันจะส่งต่อไปมันก็ต้องใส่ได้ดีด้วย มันต้องใช้งานได้ดีด้วยจริงๆ

รองเท้าฝ้ายเน้น cotton 100% แบบนิ่ม เป็นผ้าที่เอาไปใช้ตัดเสื้อผ้าได้เลย อยากให้คนใส่สบายเท้าเหมือนใส่เสื้อผ้า แม้กระทั่งเป็นรองเท้าหุ้มข้อสูงก็ไม่รู้สึกอึดอัด เพราะด้วยความที่มันเป็นวัสดุธรรมชาติ การระบายอากาศจะดี แล้วการใช้งานมันก็จะดีจริงๆ บวกกับตัวพื้นที่เราเน้นยางพารา ไม่ใช่พลาสติกหรือพีวีซี น้ำหนักมันก็จะดีกว่า แล้วมันจะยืดหยุ่นได้ดีกว่าเวลาที่เราใส่เดินและที่สำคัญมันทนทาน เพราะวัสดุธรรมชาติส่วนใหญ่มันจะทนทานอยู่แล้ว

แล้วอย่างที่บอกว่าตัวเองเป็นคนชอบรองเท้าผ้าใบและรู้ว่าอยากได้รองเท้าผ้าใบแบบไหน เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใส่ไปเต็มที่ว่าต้องให้มันใส่สบายจริงๆ ตัวเองต้องชอบก่อนทั้งตัวดีไซน์ แล้วก็ทั้งความใส่สบาย ใช้งานได้จริงๆ ก่อน เราถึงจะส่งต่อให้ลูกค้า แต่เวลาเราแนะนำลูกค้า เราก็ไม่ค่อยพูดโฆษณามากคือ เราจะบอกให้เขาลองก่อน ให้เขาสัมผัสเองว่ามันเป็นยังไง แล้วส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าเองที่กลับมาบอกกับเราว่าใส่ไปเที่ยวที่โน้นที่นี่นะ มันใส่สบายมาก หรือบอกต่อคนโน้นคนนี้ คือบางคนถึงกระทั่งตั้งใจมาที่ร้านเพื่อบอกเราเฉยๆ มันเหมือนเป็นกำไรนะคะ พอคนอื่นมาเห็นสิ่งที่เราทำแล้วเขามีความสุข เราก็ดีใจ

…ติดตามตอน 02 : HORSELEGMARKING 02

Story : Taliw
Photo : Wara Suttiwan
© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.