Philips (ฟิลลิปส์) ผู้นำระดับโลกด้าน ความสว่าง หลอดไฟ LED และ นวัตกรรมไฟฟ้าแสงสว่างอัจฉริยะ (Smart Lighting) ได้นำเสนอนวัตกรรมแสงสว่างแห่งอนาคต ภายในงาน Thailand Lighting Fair 2016 ที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “Smart Lights Smart Life – นวัตกรรมไฟฟ้าแสงสว่างอัจฉริยะ นวัตกรรมเพื่อชีวิต”
โดยปัจจุบัน นวัตกรรมไฟฟ้าแสงสว่างอัจฉริยะ หรือ Smart Lighting เข้ามามีบทบาทอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงพื้นที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน ร้านค้า และถนนหนทางทั้งหลายทั่วโลกให้ก้าวเข้าสู่ระบบดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่ง Smart Lighting นั้นสามารถยกระดับชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย การลดใช้พลังงาน และลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งจุดเด่นของ Smart Lighting คือการที่ช่วยประหยัดพลังงานได้มากถึงร้อยละ 80 เมื่อเทียบกับหลอดไฟแบบเดิม นอกจากนั้นยังสามารถติดตามผลและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย
ยิ่งในยุค Internet of Things (IoTs) ที่อุปกรณ์สื่อสารรวมไปถึงอุปกรณ์ที่ให้ความสว่างสารพัดชนิด สามารถเชื่อมโยงและสื่อสารกันได้ภายใต้เครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยที่ผู้คนสามารถควบคุมอุปกรณ์เหล่านี้ด้วยการสั่งการเพียงปลายนิ้วสัมผัสผ่านอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Device) เราจึงเริ่มมองเห็นแนวโน้มที่ผู้ประกอบการต่างๆจะเริ่มให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมแสงสว่างมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจมากขึ้น ในขณะเดียวกันทางผู้ผลิตก็ได้พัฒนาสินค้าและเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดังเช่น ฟิลลิปส์ ที่ได้จัดแสดงนวัตกรรมและโซลูชั่นของเทคโนโลยีไฟฟ้าแสงสว่างอัจฉริยะ ภายใต้แนวคิด Light Beyond illumination ผ่าน 4 ระบบหลัก อันได้แก่
เป็นระบบการควบคุมไฟถนนอัจฉริยะที่ได้เชื่อมต่อเข้ากับโคมไฟถนน LED ผ่านเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งจุดเด่นของระบบนี้คือสามารถมอนิเตอร์ไฟถนนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ได้ โดยที่ห้องควบคุมจะเห็นเป็นแผนที่เมื่อมีไฟดวงใดดวงหนึ่งเสีย ทำให้เราสามารถทราบตำแหน่งที่ตั้งของไฟที่เสียได้ทันที
ซึ่งฟิลลิปส์ได้นำเสนอระบบแสงสว่างสำหรับอาคารสำนักงานผ่านระบบ Power-over-Ethernet (PoE) ที่ทำให้พนักงานสามารถควบคุมระบบแสงสว่างในออฟฟิศของตัวเองผ่านสมาร์ทโฟนได้ ซึ่งจะทำให้ผู้จัดอาคารมีข้อมูลเกี่ยวกับการใช้พลังงานภายในอาคาร ซึ่งระบบนี้จะทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์เพื่อปรับระดับการใช้พลังงานภายในอาคารให้สมดุลกับจำนวนคน เพื่อประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น
คลังสินค้าเป็นพื้นที่ที่มีการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้แสงสว่างอย่างเหมาะสมในแต่ละช่วงของวัน เช่น อาจลดการใช้พลังงานลงได้ในบริเวณพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งานหรือใช้งานน้อย โดยสามารถใช้เซ็นเซอร์อัจฉริยะเพื่อตรวจจับเมื่อไม่มีคนอยู่ในบริเวณนั้นก็เป็นได้
อาคารจอดรถใหญ่ๆมักต้องเปิดไฟทีเดียวพร้อมกันเพราะไม่สะดวกที่จะคุมแยกเป็นส่วนๆทำให้เกิดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น ระบบ Green Parking จึงตอบโจทย์ในการจัดการแสงสว่างให้เหมาะสมตามความต้องการในแต่ละช่วงของวัน เช่น ลดการใช้แสงสว่างในพื้นที่ที่ไม่มีการใช้งาน หรือ ใช้เซ็นเซอร์เพื่อตรวจจับการใช้งาน เมื่อไม่มีรถอยู่ในบริเวณนั้นแล้วปรับความสว่างหรือหรี่แสงลงเพื่อประหยัดพลังงานก็เป็นได้
นอกจากนี้แล้วทางฟิลลิปส์ยังได้เปิดตัว หลอดไฟ Philips LED SceneSwitch – Brightness Change หลอดไฟแอลอีดีรุ่นใหม่ ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติที่สามารถปรับความสว่างของแสงได้สามระดับในหลอดเดียว โดยสามารถใช้สวิตซ์ไฟตัวเดิมโดยไม่ต้องมีอุปกรณ์ใดๆเพิ่มเติม ซึ่งมีโทนสีให้เลือก 2 แบบได้แก่คูลเดย์ไลท์หรือแสงขาว (6500k) และโทนแสงวอร์มไวท์หรือแสงเหลืองนวล (3000K) มาในหลอดขนาด 9 วัตต์ ช่วยประหยัดพลังงานได้สูงสุดร้อยละ 87 พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 15 ปี โดยตอบโจทย์ทุกความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค ช่วยสร้างบรรยากาศและปรับอารมณ์ให้เหมาะสมสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า การทำอาหาร หรือการพักผ่อน เป็นต้น
ชาว Favforward ที่สนใจหลอดไฟ Philips LED SceneSwitch – Brightness Change และนวัตกรรมต่างๆของฟิลลิปส์สามารถเข้าไปชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/philipslilghtingthailand ครับผม
เรียบเรียงโดย : Nomad609
ภาพประกอบ : Philips