และเช่นเคยกับ Travel on Budget ที่เราต้องใส่ใจและคิดคำนึงถึงเรื่องงบฯ ที่มีจำกัดในกระเป๋าเป็นอันดับแรกด้วยการคัดสรรของอร่อยที่ไม่กระทบกับสตางค์ในกระเป๋า ซึ่งทริปนี้คุณจะได้เดินเล่นชิลๆ โดยมีเงินในกระเป๋าไม่ถึง 500 บาทก็ทำให้คุณอิ่มพุงกางได้ตลอดวัน
โดยจุดสตาร์ทในทริปนี้ขอเริ่มจากการบูชาและขอพรจากพระอุมาเทวีในวัดแขก ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุตั้งแต่รัชกาลที่ 5 แต่ด้วยความเคารพและกฏของสถานที่ที่ไม่อนุญาตให้บันทึกภาพถ่ายได้ เราจึงไม่มีภาพประกอบมาฝากคุณผู้อ่านกัน แต่หลังจากที่สักการะพระอุมาเทวีกันเรียบร้อยแล้ว เราขอชวนคุณไปชิมของหวานเรียกน้ำย่อยกันก่อน โดยของหวานที่ว่านี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดแขก โดยถัดจากซอยวัดแขกไปเพียงสิบก้าวหรือเพียงหนึ่งถนนคั่นเท่านั้น
ร้านที่ว่านี้มีชื่อว่า “อาม้าเบเกอรี่” ที่ชวนให้ท้องร้องตั้งแต่หน้าร้านกับกลิ่นหอมของเบเกอรี่ร้อนๆ ที่อบสดใหม่จากเตา โดยของขึ้นชื่อที่ทุกคนยอมเสียเวลาต่อแถวยาวเหยียด เพื่อรอขนมออกจากเตาก็คือ ‘ขนมปังไส้สังขยา’ ที่ทางร้านจะทำสดใหม่ทุกวัน โดยจะเริ่มอบกันตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาบ่ายสอง เพื่อให้ลูกค้าได้ขนมปังสังขยาสดใหม่ไปกิน ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้อาม้าเบเกอรี่เป็นร้านขนมปังที่มีอายุยาวนานกว่า 60 ปี
นอกเหนือจากความใส่ใจเรื่องคุณภาพ ทั้งความสดใหม่ของขนมปังและการทำขนมปังแบบวันต่อวัน โดยที่ไม่ใส่สารกันบูดแล้ว รสชาติของ ‘สังขยา’ ของอาม้าก็อร่อยจนต้องยกนิ้วให้อีกด้วย โดยเฉพาะความหอมของใบเตยกับความนุ่มละมุนลิ้นของสังขยาที่เหมือนจะละลายในปากได้ โดยเฉพาะขนมปังไส้สังขยาที่อัดแน่นด้วยไส้สังขยาแบบทะลัก จึงไม่แปลกหากเราจะเห็นลูกค้ายืนต่อแถวยาวเหยียดที่หน้าร้านและหลายคนก็ถือกล้องขนมร้านอาม้าคนละ 3-5 กล่องเป็นอย่างต่ำออกจากร้านไป
อาม้าเบเกอรี่
• เปิด – ปิด : 09.00 – 17.00 น. (แต่แนะนำให้ไปก่อน 14.00 น. ถึงจะชัวร์ว่ายังมีขนมปังสังขยาให้ได้ชิม) ร้านหยุดวันอาทิตย์
• เมนูแนะนำ : ขนมปังสังขยา กล่องเล็ก 5 ชิ้น ราคา 55 บาท และกล่องใหญ่ 10 ชิ้นราคา 100 บาท
แต่หากใครอยากกินก๋วยเตี๋ยวเพื่อให้อิ่มท้อง แนะนำให้ไปลิ้มรส ‘ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ’ เจ้าเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 50 ปีใน “เย็นตาโฟวัดแขก” ความอร่อยของเย็นตาโฟร้านนี้อยู่ที่รสชาติกลมกล่อมและเป็นเอกลักษณ์ของซอสเย็นตาโฟซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของร้าน ดังนั้นรสชาตินี้จึงมีเพียงร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น นอกจากนี้เย็นตาโฟของที่นี่ยังหนักเครื่องแบบเน้นๆ ทั้งปลาหมึกกรอบ เต้าหู้ และลูกชิ้นปลาชิ้นโต ส่วนความอร่อยนั้นการันตีได้จากจำนวนลูกค้าที่นั่งกันแน่นร้านนั่นเอง
นอกจากก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟแล้ว ภายในร้านยังมีเมนูอื่นๆ ให้ได้ลิ้มลองอีกด้วย ทั้งข้าวขาหมู ขนมจีนน้ำยา สลัดแขก ปอเปี๊ยะสดทอดกรอบน่าทาน ฯลฯ และอีกหนึ่งความน่ารักของร้านนี้คือทีมเวิร์คของเหล่าอาเจ๊กอาโกวทั้งหลาย เริ่มจากอาม่าที่ทำหน้าที่ลวกเส้นอย่างขยันขันแข็ง โดยมีอาเจ๊กและอาโกวคอยให้บริการด้านอื่นๆ กับลูกค้าไม่ว่าจะเป็นหาโต๊ะให้นั่ง แม้คนจะแน่นร้านหรือเสิร์ฟน้ำ ฯลฯ ซึ่งทุกอย่างทำด้วยความรวดเร็วโดยที่ลูกค้าผู้หิวโหยอย่างเราไม่ต้องรอให้เสียเวลาเลย
เย็นตาโฟวัดแขก
• เปิด – ปิด : 9.00 – 16.00 น. หยุดวันอาทิตย์
• เมนูแนะนำ : เย็นตาโฟเส้นใหญ่ ธรรมดา 40 บาท พิเศษ 50 บาท
หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้ว ก็ได้เวลาเดินย่อยกัน! โดยเราแนะนำให้คุณไปเสพย์ศิลป์กันที่แกลเลอรี่ “Kathmadu Photo Gallery” ซึ่งอยู่เยื้องกับร้านเย็นตาโฟวัดแขกไปหน่อยเดียวเท่านั้น แกลเลอรี่แห่งนี้มีเสน่ห์ที่ชวนสะดุดตาตั้งแต่ตัวตึกแถววินเทจที่ใส่ความสดชื่นด้วยสีสันกับประตูที่เปิดกว้างเชิญชวนให้เราได้เดินเข้าไปสำรวจ
แกลเลอรี่แห่งนี้เป็นของคุณมานิต ศรีวานิชภูมิ ช่างภาพที่ชื่อเสียงดังระดับโลก ซึ่งเมื่อ 10 ปีก่อนเขาตัดสินใจเปิดแกลเลอรี่เพื่อให้คนที่เดินผ่านไปมาในซอยวัดแขกได้เสพย์งานศิลป์ผ่านภาพถ่าย โดยปัจจุบันชั้นล่างของแกลเลอรี่แสดงผลงานของคุณมานิตเองกับผลงานภาพถ่ายในชุด Pink Matter นั่นเอง ส่วนชั้นสองจัดทำเป็นแกลเลอรี่หมุนเวียนที่ให้ช่างภาพทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้นำผลงานมาจัดแสดง โดยจะหมุนเวียนให้ชมคอลเลคชั่นละ 2 เดือน นอกจากนี้ในแกลเลอรี่แห่งนี้ยังจำหน่ายภาพถ่ายของคุณมานิตให้เราซื้อหาไปประดับบ้านอีกด้วย
Kathmadu Photo Gallery
• เปิด – ปิด : 11.00 – 18.00 น. หยุดวันอาทิตย์ – จันทร์
• เข้าชมฟรี โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
ใครที่อยากนั่งร้านชิลๆ ตากแอร์เย็นๆ พร้อมจิบเครื่องดื่มสวยๆ แล้วละก็ ต้องไม่พลาดกับ “Printa Café” คาเฟ่สีขาวที่ซุกตัวอยู่ในซอยวัดแขก ความพิเศษของคาเฟ่แห่งนี้นอกจากการตกแต่งที่แสนอบอุ่นและเก๋ไก๋แล้ว คงไม่พ้นบรรดาเครื่องดื่ม อาหาร และขนมหวานที่ถูกใจวัยรุ่นหลายๆ คน โดยเฉพาะความอร่อยและหอมหวานของเครื่องดื่มที่ชื่อว่า ‘ชา’ ซึ่งทางเจ้าของร้านได้นำใบชามาผสมผสานกันจนได้เครื่องดื่ม Printa Tea Selection ที่มีรสและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่าจะเป็น Rose Darjeeling Wildberry ที่ใช้ชากุหลาบมาเบลนด์กับชาดาร์จีลิ่ง จนได้ชา Rose Darjeeling และนำมาชงกับผลเบอร์รี่ (Wildberry) , Herbal Fresh เครื่องดื่มที่มาจากการเบลนด์ของชาดำกับ Bergamot หรือมะกรูดและชากุหลาบ เพิ่มความสดชื่นด้วยเลม่อน ปิดท้ายกันด้วย Passion Sunshine เครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นและดับร้อนด้วยชาผลไม้ (Fruit Tea) ที่ให้กลิ่นหอมกับความหวานกำลังดี นอกจากเครื่องดื่มและอาหารในบรรยากาศชิลๆ ให้เราได้หลบร้อนกันแล้ว ภายในร้านยังมีพื้นที่ของหนุ่มสาวแว่นกันอีกด้วย นั่นคือภายในร้านยังมีแว่นตาจำหน่ายภายใต้แบรนด์ GLAZZIQ ให้หนุ่มสาวได้ไปเลือกสรรแว่นคุณภาพดีนั่นเอง
Printa Café
• เปิด-ปิด : 7.30 – 18.00 น. หยุดวันพฤหัสบดี (แต่เจ้าของร้านแอบกระซิบมาว่าหลังปีใหม่นี้จะเปลี่ยนวันหยุดร้านเป็นวันพุธแทน ยังไงก็รออัพเดตข้อมูลบนเฟซบุ๊กร้าน www.facebook.com/printacafe)
• เมนูแนะนำ : ขอนำเสนอเครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นและช่วยดับร้อนอย่าง Printa Tea Selection ขวดละ 110 บาทเท่านั้น
ต่อกันด้วยอีกหนึ่งร้านอาหารอิ่มอร่อยที่แม้หน้าร้านจะไม่สะดุดตาและเมนูก็ไม่สะดุดใจ แต่ด้วยสไตล์วินเทจที่นำเอาของสะสมซึ่งเป็นความทรงจำวัยเด็กมาตกแต่งก็เรียกความประทับใจจากเราได้ไม่ยากกับร้าน “Bistro 95” โดยร้านนี้อยู่ฝั่งตรงข้ามและเยื้องมาจาก Printa Café ไม่ไกลมากนัก
อย่างที่กล่าวไปแล้วถึงความประทับใจในร้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์วินเทจและของสะสมที่ชวนให้นึกถึงวัยเด็กที่เจ้าของร้านนำมาตกแต่ง อาทิ เทปคาสเซ็ทของนักร้องคนดังทั้งไทยและเทศ ยังไม่นับรวมเพลงที่เปิดคลอเบาๆ ในร้าน ยิ่งช่วยเสริมความคลาสสิกให้ร้านอาหารแห่งนี้ และแม้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่นิยมเข้ามาลิ้มลองอาหารไทยจานด่วน แต่สำหรับเราถ้าไม่อยากกินอาหารไทยที่ร้านยังมีอาหารฟิวชั่นและอาหารสไตล์อิตาเลี่ยนเสิร์ฟอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นหอยแมลงภู่อบชีส ที่เน้นหอยตัวโตๆ กับชีสเยิ้มๆ หรือจะเป็นเมนู สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าอกไก่รมควัน ส่วนความอร่อยการันตีได้จากจำนวนลูกค้าที่เดินเข้าออกไปขาดสายนั่นเอง
Bistro 95
• เปิด – ปิด : จันทร์ – ศุกร์ 9.00 – 20.30 น. และเสาร์ 10.00 – 21.00 น. หยุดวันอาทิตย์
• เมนูแนะนำ : สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าอกไก่รมควัน 149 บาท และ หอยแมลงภู่อบชีส 119 บาท
ปิดท้ายกันด้วยขนมหวานโบราณที่ค่อนข้างจะหากินยากอย่าง “ข้าวเหนียวเปียก” ที่มีให้เราเลือกทานตั้งแต่ข้าวเหนียวเปียกลำไย ข้าวเหนียวเปียกมะพร้าวอ่อน ไปจนถึงข้าวเหนียวเปียกแปะก๊วย ฯลฯ ซึ่งขนมหวานถ้วยอร่อยนี้เป็นฝีมือของอาม่าที่แม้จะไม่ได้ตั้งขายเป็นร้านใหญ่โต แต่เป็นเพียงโต๊ะเล็กๆ ริมฟุตบาท (พิกัดใกล้กับร้านกาแฟชาวดอย) แต่ก็ขายดิบขายดี เห็นได้จากยามเช้าที่เราเดินผ่านนั้นยังมีข้าวเหนียวเปียกวางเรียงเต็มโต๊ะ แต่เพียงช่วงบ่ายสองนิดๆ กลับเหลือข้าวเหนียวเปียกเพียงไม่กี่ถ้วยเท่านั้นเอง นับว่าเป็นขนมหวานปิดท้ายในซอยวัดแขกกับราคาย่อมเยาว์เพียง 25 บาทที่ไม่ควรพลาด!