แต่เดี๋ยวก่อน! ใช่ว่าเราจะหมดหนทางที่จะออกไปพักผ่อน รับลมเย็นๆ กันซะทีเดียว เพราะว่าวันนี้ FAVFORWARD ได้จัดทริป พร้อมกับชวนคุณเดินทางไปเปิดโลกกว้างที่ใช้เวลาไม่มาก แต่รับรองว่าสนุกและทำให้เพื่อนๆ เกิดอาการอิจฉาได้ กับการเดินทางที่ใช้ชื่อว่า “ใช้วันหยุดยาวช่วงสั้นๆ เที่ยวตามรอยพ่อ 2 วัน 4 จังหวัด” นั่นเอง
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าทริปนี้จัดขึ้นสำหรับคนทำงานที่ไม่มีวันหยุดยาวติดต่อกันหลายวันในการเดินทางไปท่องเหนือและล่องใต้ เราจึงขอคัดสรรค์จังหวัดในเขตภาคกลางที่รับรองว่ามีดีไม่แพ้แหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ มานำเสนอ โดยทริปนี้ได้รับความเอื้อเฟื้อจาก ‘การท่องเที่ยวแห่งประเทศ’ (ททท.) ที่ได้จัดทำโครงการและหนังสือ ‘70 เส้นทางตามรอยพระบาท’ ขึ้นมาเป็นไกด์ให้นักเดินทางผู้ไม่มีเวลาอย่างเราได้ออกไปชมของดีของเมืองไทย
…ดาวน์โหลดหนังสือฟรี ได้ที่นี่ 70waysofking.tourismthailand.org
** อย่าลืมกดรูปภาพ เพื่อชมภาพไซส์ใหญ่แบบเต็มอิ่ม **
• นครปฐม
“วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร” หรือ “พระปฐมเจดีย์” คือสถานที่แรกที่เราจะพาคุณไปเยือน เพื่อให้คุณได้นมัสการพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอารามหลวงแห่งนี้ และชมพระสถูปเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินในขณะทรงผนวช เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2499 และเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2524
นอกจากพระเจดีย์ใหญ่รูประฆังคว่ำซึ่งมีฐานะเป็นมหาธาตุหลวงของแผ่นดินสุวรรณภูมิแล้ว สถาปัตยกรรมแบบไทยของพระปฐมเจดีย์แห่งนี้ยังคงงดงามและสง่า พร้อมกับบรรยากาศเงียบสงบของสถานที่ โดยเฉพาะระเบียงแก้วสองชั้นที่โอบล้อมรอบพระปฐมเจดีย์ อีกทั้งบริเวณพระปฐมเจดีย์ยังมี “ถ้ำลับแล” และ “ถ้ำตะเคียนทอง” ให้เราได้ลงไปสำรวจ พร้อมสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ประดิษฐานภายในถ้ำอีกด้วย
หลังจากนมัสการและสำรวจความงดงามของพระอารามหลวงชั้นเอกกันแล้ว อย่าลืมแวะทานข้าวกลางวันกับร้านเก่าแก่ชื่อดังของจังหวัดอย่างร้าน ‘ตั้งฮะเส็ง’ ร้านข้าวหมูแดงชื่อดังที่มีให้เราเลือกชิมตั้งแต่ ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ข้าวหน้าเป็ด และก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ ส่วนความอร่อยการันตีได้จากจำนวนลูกค้าที่ตบเท้าเข้าร้านไม่ขาดสาย
• ราชบุรี
เมื่ออิ่มหนำกับของอร่อยในจังหวัดนครปฐมกันแล้ว ก็ได้เวลาออกรถไปเยือนจังหวัดต่อไป นั่นก็คือจังหวัดราชบุรี กับการไป ‘ตื่นใจถ้ำงาม’ อย่าง “ถ้ำจอมพล” ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณสวนรุกขชาติจอมพล ความพิเศษของแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้ แน่นอนว่านอกจากการได้ผจญภัยในถ้ำขนาดใหญ่ที่มีความกว้างถึง 30 เมตรและยาว 25 เมตรแล้ว คือบรรดาลิงทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ที่อยู่มากมาย นอกจากความซนและขี้สงสัยของเจ้าจ๋อที่ชวนให้เรานึกเอ็นดูแล้ว การได้ปีนป่ายไปชมความงามที่ธรรมชาติรังสรรขึ้นก็เป็นไฮไลท์ที่ห้ามพลาดของถ้ำจอมพล
โดยเฉพาะหินงอกหินย้อยที่มีรูปร่างต่างๆ พร้อมกับความหลากหลายของชื่อ อาทิ ธารศิลา สร้อยระย้า แส้จามรี ท้องพระโรง ฯลฯ อีกทั้งภายในถ้ำยังมีปล่องกลางถ้ำ ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายเทอากาศ ทำให้ภายในถ้ำไม่อึดอัดหรือร้อนจนเกินไป โดยเฉพาะยามที่แสงแดดส่องเข้ามาถ้ำผ่านปล่องนี้ยิ่งขับให้ถ้ำแห่งนี้งดงามยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ถ้ำจอมพลยังเป็นถ้ำที่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์เคยเสด็จประพาสและทอดพระเนตรบ่อยครั้ง โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เสด็จประพาสถ้ำและทรงเยี่ยมราษฎร เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2499 รวมทั้งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารก็เคยเสด็จประพาสถ้ำจอมพลเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ในปัจจุบันจึงปรากฏพระปรมาภิไธยย่อ “จปร” “ภปร” และ “มวก” อยู่บริเวณผนังปากทางเข้าถ้ำ
และหากยังพอมีเวลาก่อนจะเช็กอินเข้าพัก เราอยากแนะนำให้คุณเดินทางไปนมัสการพระพุทธฉาย ณ “ถ้ำฤาษีเขางู” ซึ่งตั้งอยู่ในสวนสาธารณะเขางู ต.เกาะพลับพลา แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบศิลปะทวารวดี โดยเฉพาะบนยอดเขางูซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำฤาษี โดยบริเวณปากทางเข้าโดดเด่นด้วยรอยพระพุทธรูปขนาดใหญ่ อันเป็นศิลปะสมัยทวารวดี นั่งห้อยพระบาทในปางแสดงธรรมเทศนาจำหลักบนผนัง ซึ่งรู้จักกันทั่วไปว่า ‘พระพุทธฉายถ้ำฤาษีเขางู’ นั่นเอง เมื่อเดินเข้าไปภายในถ้ำจะพบกับพระพุทธรูปหินทรายศิลปะสมัยอยุธยาจำนวนมาก นอกจากนี้ใกล้ๆ กันกับถ้ำฤาษีสามารถเดินไปสักการะรอยพระพุทธบาทจำลองที่ทำด้วยศิลาแลงได้อีกด้วย
• สุพรรณบุรี
หลังจากนอนเต็มอิ่ม เติมพลังด้วยอาหารเช้ากันแล้ว ก็ออกเดินทางกันต่อ โดยจุดหมายต่อไปก็คือจังหวัดสุพรรณบุรี เมืองต้นกำเนิดวรรณคดีเรื่องดังอย่างขุนช้างขุนแผน โดยสถานที่แรกที่เราไปเยือนในจังหวัดนี้คือ “วัดป่าเลไลยก์วรวิหาร” วัดเก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามีอายุราว 1200 ปี พร้อมกับนมัสการ ‘หลวงพ่อโต’ พระพุทธรูปปางป่าเลไลยก์ซึ่งมีขนาดใหญ่ และร่วมทำบุญในพิธีห่มผ้าจีวรหลวงพ่อโต เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต นอกจากนี้ภายในวัดยังฉากภาพวาดวรรณคดีขุนช้างขุนแผนสำหรับให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปเป็นที่ระลึก พร้อมเล่าเรื่องขุนช้างขุนแผนที่คนรักวรรณคดีไม่ควรพลาด
โดยเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2498 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินนมัสการหลวงพ่อโต และทรงชักผ้าห่มถวายองค์หลวงพ่อโต
ต่อกันด้วยการไปเยี่ยมชม “โบราณสถานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ” ซึ่งแม้จะอยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซมจากกรมศิลปากร แต่เราสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ โดยวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ สุพรรณบุรีนี้เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองที่ตั้งอยู่ในบริเวณศูนย์กลางของเมืองโบราณสุพรรณบุรีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น โดยจุดเด่นของที่นี่คือ ‘เจดีย์ทรงปรางค์’ ที่ชวนให้เราคิดถึงโบราณสถาน ณ จังหวัดอยุธยานั่นเอง โดยกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นโบราณสถานของชาติ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2478 อีกด้วย
• อยุธยา
จังหวัดสุดท้ายของทริป เราก็ขอชวนคุณไปเยือนเมืองเก่าอย่างจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวกันที่ “ตลาดลาดชะโด” ตลาดเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี เพื่อชมวิถีริมน้ำของชาวลาดชะโด พร้อมกับชิมขนมโบราณรสดั้งเดิม อาทิ กะหรี่ปั๊บสูตรโบราณที่คุณลุงเจ้าของสูตรนวดแป้ง จับจีบ และทอดให้เห็นกันแบบไม่หวงสูตร สำหรับตลาดลาดชะโดหลายคนรู้จักจากประเพณีงานแห่เทียนพรรษาทางน้ำ ซึ่งเป็นการสืบสานประเพณีเก่าแก่หนึ่งเดียวในไทยให้คงอยู่คู่กับความเป็นเอกลักษณ์ของตลาดลาดชะโดนั่นเอง
โดยในวันที่เราไปเยือนตลาดแห่งนี้ (4 ธ.ค. 59) ชาวลาดชะโดได้จัด ‘พิธีแห่เรือถวายอาลัยแด่พ่อหลวง’ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและถวายความอาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นการแห่เรือด้วยความจงรักและภักดีที่ยิ่งใหญ่และคงเอกลักษณ์ของวิถีริมน้ำของชาวลาดชะโดได้อย่างงดงาม และเราก็พลาดที่จะเก็บภาพมาฝากคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย
และเมื่อมาเยือนอยุธยา ก็ต้องไม่พลาดที่จะตามรอยพระบาท ณ “ทุ่งมะขามหย่อง” เพื่อชมแก้มลิงพระราชทานแห่งแรก โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินยังพระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระสุริโยทัย เพื่อทรงเยี่ยมเกษตรกรและทอดพระเนตรความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริเกี่ยวกับการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำในพื้นที่ เพื่อส่งน้ำให้กับเกษตรกรใช้ในฤดูแล้ง และแก้ปัญหาน้ำท่วม
สำหรับทุ่งมะขามหย่อง นอกจากจะเป็นพื้นที่แก้มลิงที่สามารถจุน้ำได้ถึง 2,100,000 ลูกบาศก์เมตรแล้ว ยังเป็นสถานที่จริงในประวัติศาสตร์ นั่นคือเป็นสมรภูมิรบไทย-พม่าหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งที่แห่งนี้เองที่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงทำยุทธหัตถีกับพระเจ้าแปรจนต้องพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์บนคอช้าง โดยพระรูปสมเด็จพระสุริโยทัยหล่อด้วยสำริด มีขนาดหนึ่งเท่าครึ่งขององค์จริง ประทับบนหลังพระคชาธาร มีนักรบจาตุรงคบาทที่มีเค้าโครงหน้าละม้ายนายพลฯ ในยุคนั้น ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่จำลองค่ายข้าศึกและกองทัพข้าศึก 4 ทัพ พร้อมด้วยกลุ่มอนุสาวรีย์ประติมากรรมประกอบกันทั้งสิ้น 49 ชิ้น กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวอยุธยาและนักท่องเที่ยวนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย