หากย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Blue Dye Café ในสายตาของเราคือคาเฟ่เท่ๆ ที่แฝงความดิบในสไตล์อินดัสเทรียลลอฟท์เอาไว้ ผนวกกับเมนูอาหารที่เน้นความอร่อยแบบโฮมเมดด้วยแล้ว ทำให้คาเฟ่แห่งนี้กลายเป็นร้านประจำของเราในย่านทองหล่อ แต่เมื่อไม่กี่เดือนก่อน Blue Dye Cafe ได้ปรับโฉมในคาแรคเตอร์ใหม่ที่ชวนน่านั่งกว่าเคย เราจึงไม่รอช้าที่จะพาตัวเองไปเห็นกับตาสักครั้ง
จากคาเฟ่ดิบสไตล์ลอฟท์ถูกปรับเปลี่ยนให้โมเดิร์นและเก๋กว่าเคยภายในบ้านไม้สองชั้นหลังเดิม โดยคุณตั้ม – กิตติพงษ์ ไพบูลย์สมบัติ ได้เปลี่ยน Blue Dye Café จากชายหนุ่มมาดเซอร์สู่สุภาพบุรุษมาดเนี้ยบ เริ่มจากการปรับคาแรคเตอร์ให้สดใสในโทนสีน้ำเงินสว่างตัดกับสีทองและสีขาวอย่างลงตัว เสริมบรรยากาศอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ พร้อมกับเปิดพื้นที่ให้โล่งโปร่งด้วยผนังกระจกแทนที่ด้วยผนังอิฐโชว์แนว พร้อมขยับขยายสเปซด้วยการต่อเติมห้องกระจก ซึ่งสเปซส่วนนี้ คุณตั้มออกแบบให้เป็น Coffee Bar ที่มีทั้ง Espresso bar และ Filter bar
ไม่เพียงแต่การรีโนเวทเปลี่ยนภาพลักษณ์เท่านั้น แต่คุณตั้มยังเปลี่ยนคาเฟ่ธรรมดาให้กลายเป็น Lifestyle Café ที่ไม่การมานั่งจิบกาแฟกินขนมเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้เราได้ชมและช้อปงานเซรามิกจากแบรนด์ Cone No.9 ซึ่งคุณมิ้น – วรามล ชุนชาติประเสริฐ เป็นผู้ดูแลและเจ้าของแบรนด์ และบนชั้นสองของบ้านยังเปิดสเปซเป็นช็อปเสื้อผ้าสไตล์วินเทจของคุณตั้มเองอีกด้วย
“จริงๆ เดิมเซรามิกจะอยู่ห้องเล็กๆ ข้างๆ คาเฟ่ แต่พอรีโนเวทเราก็แค่อยากให้ทุกอย่างมันเบลนด์รวมกัน ให้คนเข้าถึงได้ง่าย ก็เลยพยายามจะทำให้ร้านเป็นช็อปไลฟ์สไตล์หน่อย มีอุปกรณ์กาแฟ มีแก้วเซรามิกขาย ซึ่งทุกอย่างเราไม่ได้เลือกมาจากที่อื่น แต่เป็นสิ่งที่เราสร้างมันขึ้นมาเอง ส่วนข้างบนก็เป็นช็อปเสื้อผ้าของคุณตั้ม”
เป็นความตั้งใจของเราที่อยากให้ทุกอย่างเข้าถึงง่าย ดูเล็กๆ แต่ว่าดีเทลมากขึ้น
เมื่อร้านเปลี่ยนคาแรคเตอร์ใหม่ คอนเซ็ปต์ย่อมเปลี่ยนไปด้วย โดย Blue Dye Café โฉมใหม่มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ที่เน้นคุณภาพในบรรยากาศที่เข้าถึงง่าย “ก่อนหน้านี้บาร์กาแฟ เราจะเน้นเครื่องดื่มนะคะ แต่ว่าตอนนี้ด้วยสเกลบาร์ที่เล็กลงคือ เป็นความตั้งใจของเราที่อยากให้ทุกอย่างเข้าถึงง่าย ดูเล็กๆ แต่ว่าดีเทลมากขึ้น ซึ่งเครื่องดื่มไม่ได้เยอะเท่าเดิม แต่ดีเทลในแต่ละเมนูเยอะขึ้น”
ดังนั้นเมนูที่เสิร์ฟจึงมีไม่มาก แต่เน้นที่รสชาติและคุณภาพ โดยมีทั้งเมนูใหม่แกะกล่องอย่าง “Chai Latte with Tofu Pudding” (140 บาท) กับการนำ Masala Chai หรือชาอินเดียซึ่งมีกลิ่นหอมเฉพาะมาทำเป็นไซรัป ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิมมิกใหม่ของ Blue Dye Café เติมความอร่อยด้วยพุดดิ้งเต้าหู้ด้านล่าง และท็อปด้วยปาท่องโก๋กรอบ
ส่วนอีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ “Moo-Nam-Tok Pasta” (190 บาท) เมนูขายดีเรื่อยมาตั้งแต่เปิดคาเฟ่แห่งนี้ โดยเป็นการมิกซ์ความอร่อยระหว่างเมนูตะวันตกกับความอร่อยแบบไทยๆ โดยเฉพาะรสชาติที่ถึงเครื่องของหมูเนื้อนุ่ม โดยทางร้านมีสูตรการหมักเฉพาะจนได้หมูน้ำตกที่กลมกล่อมและเข้มข้น ให้รสเปรี้ยว เผ็ด และหอมเครื่องเทศกำลังดี
“นอกจาก Masala Chai Tofu Pudding ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์เมนูใหม่แล้ว ก็จะมีขนมอีกเมนูคือ Toast Affogato เป็นเมนูที่ลูกค้าสั่งบ่อย คือเราจะใช้ไอศกรีมโฮมเมดทั้งหมด ซึ่งเราจะมีพาร์ทเนอร์ทำไอศกรีมให้ เราจะเบลนด์ชาเอง แล้วเอาวัตถุดิบไปให้พาร์ทเนอร์ทำไอศกรีม ซึ่งจะเป็นไอศกรีมรสซิกเนเจอร์ของเรา มีทั้งหมด 3 ตัว Green Herbal, Rhubarb Rose, Toast แต่ที่ขายดีสุดคือ Toast เป็นไอศกรีมกลิ่นขนมปัง อย่างเมนู Toast Affogato คือเอาไอศกรีม Toast มาผสมกับ Affogato ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไอศกรีมวนิลากับช็อตกาแฟ แต่ว่าของเราจะเปลี่ยนเป็นไอศกรีมรสขนมปัง แล้วเอากาแฟมาทำเป็นมูส ก็จะได้ขนมในรูปแบบ Affogato”
“โอเคว่าอาหารเราอาจไม่เยอะมาก เพราะว่ามันเป็นสเกลคาเฟ่ แต่ว่าเราพยายามทำให้มีน้อย แต่ว่าอร่อย ใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าเน้นปริมาณเมนูเยอะๆ”
Blue Dye Cafe
• Address: สุขุมวิท 36 ซอยนภาศัพท์ 1
• Map: goo.gl/maps/nevTX5s1Wmz
• Time: 09.00 – 18.00 น. ปิดวันจันทร์
• Tel: 083 714 5333
• Facebook: www.facebook.com/BlueDyeCafe