Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks ไอศกรีมบาร์ในโรงพิมพ์เก่าที่ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18

Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks ไอศกรีมบาร์ในโรงพิมพ์เก่าที่ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18  

WHERE: Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks ร้านไอศกรีมโฮมเมดและบาร์กลิ่นอายวินเทจจากยุคแกสบี้ในบรรยากาศโรงพิมพ์เก่าที่เสิร์ฟ Alcoholic Ice Cream ที่ครีเอทความอร่อยแบบไม่ซ้ำใคร

‘ร้านไอศกรีมที่ไม่เหมาะกับเด็กอายุต่ำกว่า 18’ คือชื่อแรกที่ผุดขึ้นมา หลังจากที่เราได้รู้ว่าคาเฟ่แห่งนี้คือแหล่งรวมพลของไอศกรีมผสมแอลกอฮอล์ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดชื่อขำๆ ให้ล้อไปกับประโยคที่มักเห็นบนฉลากข้างขวด โดยความพิเศษของร้านไอศกรีมบาร์แห่งนี้ นอกจากความอร่อยของไอศกรีมรสพิเศษ คงเป็นคอนเซ็ปต์และเรื่องเล่าที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดทุกซอกมุมของร้าน โดยเราได้ ‘คุณหญิง’ ผู้จัดการร้านอัธยาศัยดีทำหน้าที่เป็นนักเล่าเรื่องถึงจุดเริ่มต้นของ “Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks”

จุดเริ่มต้นของร้านไอศกรีมบาร์ในโรงพิมพ์เก่า เริ่มมาจาก เชฟโจ๊ก-สมเกียรติ ไพโรจน์มหกิจ เผอิญไปเห็นป้ายประกาศขายเครื่องพิมพ์เก่าและด้วยความชอบของเก่าเป็นทุนเดิม ทำให้เชฟโจ๊กไม่รอช้าที่จะเข้าไปสอบถามพูดคุย แต่เมื่อได้เห็นบรรยากาศภายใน จึงเกิดไอเดียที่จะเปลี่ยน ‘โรงพิมพ์เก่า’ บนถนนจักรพรรดิพงษ์ให้กลายเป็นร้านไอศกรีมบาร์ดีไซน์เท่ที่เจือกลิ่นอายวินเทจจากยุคแกสบี้

โดยเฉพาะเมื่อเชฟโจ๊กทราบว่าโรงพิมพ์เก่าแห่งนี้เปิดกิจการมาตั้งปี 1968 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับยุค Prohibition Era ที่มีกฎหมายห้ามขายเหล้าเพื่อความบันเทิง แต่อนุญาตให้ขายเหล้าเพื่อเป็นยาได้ และด้วยความหัวใสของเจ้าของร้านยาจึงแอบขายเหล้าในรูปแบบเครื่องดื่ม Soda Float และไอศกรีมซันเดย์แทน และจากเหตุการณ์ในอดีตนี้เองจึงกลายเป็นแรงบันดาลใจให้เชฟโจ๊กหยิบยกมาเปิดเป็นร้านไฮศกรีมโฮมเมดและบาร์สไตล์วินเทจขนาดกะทัดรัด โดยเชื่อมโยงสถานที่แห่งนี้เข้ากับเรื่องเล่า สิ่งของ และอาหารผ่านความสนุกและความรักในสิ่งที่ทำ

เริ่มจากบรรยากาศร้านที่เชฟโจ๊กให้ความสำคัญด้วยการรักษาความเป็นวินเทจ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของอาคารหนึ่งคูหาสองชั้นแห่งนี้เอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างอาคารที่แทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ทำให้ภายในร้านอบอวลด้วยกลิ่นอายของโรงพิมพ์ อีกทั้งเชฟโจ๊กยังลงทุนซ่อมเครื่องพิมพ์ Original Heidelberg ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ที่อยู่คู่กับโรงพิมพ์แห่งนี้มายาวนานให้กลับมาพิมพ์ได้อีกครั้ง และยังเปิดใช้งานให้ลูกค้าได้ชมนวัตกรรมการพิมพ์จากยุคอนาล็อกกันอีกด้วย ยังไม่นับรวมการนำแม่พิมพ์แบบต่างๆ ที่เคยใช้ร่วมกับเครื่องพิมพ์เครื่องนี้และกระป๋องสีหมึกพิมพ์ซึ่งนำมาตกแต่งรอบๆ ร้าน ฯลฯ

นอกจากนี้เชฟโจ๊กยังขนของรักของหวงซึ่งเป็นของเก่าสะสมมาตกแต่ง เพื่อเพิ่มบรรยากาศวินเทจให้ร้าน ซึ่งคุณหญิงแอบกระซิบกับเราว่า ทุกเดือนจะมีการนำของสะสมมาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป เพื่อสร้างบรรยากาศใหม่ๆ แบบไม่จำเจ ซึ่งไอเดียนี้กลายเป็นอีกหนึ่งความสนุกของไอศกรีมบาร์แห่งนี้

ชั้นล่างโดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งออกแบบให้มีหน้าตาเสมือนตู้ยา ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นลิ้นชักเก็บกระดาษและแม่พิมพ์ ด้านหน้าจัดวางโต๊ะไม้ที่โดดเด่นด้วยขาเหล็กของจักรเย็บผ้าวินเทจ ส่วนชั้นสองออกแบบในบรรยากาศตู้รถไฟเก่า ที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์ไม้ หนัง และเหล็กเข้ากันกับคอนเซ็ปต์ร้าน ด้านหนึ่งจัดพื้นที่เป็นครัวเปิดให้เราได้นังมองกระบวนการสร้างความอร่อยระหว่างทานไอศกรีมอย่างเพลิดเพลิน

นอกจากบรรยากาศวินเทจเท่ๆ ในโรงพิมพ์เก่าแล้ว เมนูของที่นี่ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะ Alcoholic Ice Cream หน้าตาวินเทจสุดคลาสสิก ซึ่งทุกเมนูล้วนมาจากความครีเอทของเชฟโจ๊ก ไอศกรีมของที่นี่จึงโดดเด่นและมีรสชาติไม่ซ้ำใคร โดยเฉพาะเมื่อเชฟโจ๊กเพิ่มความพิเศษด้วยวิธีการผลิตแบบดั่งเดิมที่ไม่ใช้เครื่องทำไอศกรีม จนทำให้ได้ไอศกรีมโฮมเมดรสผู้ใหญ่ที่มีชื่อว่า Artisanal Ice Cream

Bourbon Vanilla with Honeycomb Brittle, Marmalade, Orange Bitters (220 บาท)

เริ่มจากความอร่อยของ Artisanal Ice Cream อย่าง Bourbon Vanilla with Honeycomb Brittle, Marmalade, Orange Bitters (220 บาท) ไอศกรีมรสเบอร์เบิ้นที่เพิ่มความหอมหวานด้วยวานิลา ทำให้มีรสนุ่มละมุนลิ้น เพิ่มความสมดุลและความกลมกล่อมด้วยแยมส้มและ Honeycomb

หรือจะลองซิกเนเจอร์ของร้านที่หาทานที่ไหนไม่ได้อย่าง The Green Fairy Sundae (290 บาท) ไอศกรีมที่มี Absinthe เป็นวัตถุดิบสำคัญ จนได้ไอศกรีมรสแอปซินธ์หวานเย็นที่แฝงความร้อนแรงของแอลกอฮอลล์เอาไว้ เพิ่มความกลมกล่อมด้วยคาราเมล วิปปิ้งครีม เชอร์รี่ และเปลือกส้มโอแห้งซึ่งเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์เด็ดของไอศกรีมถ้วยนี้

The Green Fairy Sundae (290 บาท)

นอกจากจะเป็นไอศกรีมบาร์สำหรับผู้ใหญ่แล้ว Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks ยังเป็นบาร์วินเทจที่เสิร์ฟ Classic Cocktail ให้เราได้ลิ้มลอง โดยเฉพาะเมื่อบาร์วินเทจแห่งนี้เป็นแหล่งสะสมคอลเลคชั่นเบอร์เบิ้นให้เราได้เลือกชิมกันแบบไม่ซ้ำแก้ว อีกทั้งยังมี Barman มากประสบการณ์ที่คอยผสมผสานรสชาติของเครื่องดื่มตามต้องการของเราอีกด้วย

ไม่ว่าจะเป็น Rob Roy (290 บาท) คลาสสิกค็อกเทลที่มี Monkey Shoulder เป็นหัวใจหลัก โดย Barman ยังคงความดั้งเดิมของค็อกเทลคลาสสิกเอาไว้อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้สก๊อตวิสกี้ผสมกับเวอร์มุธ เสริมมิติให้รสชาติด้วยเปลือกส้ม จนกลายเป็นค็อกเทลรสแมนๆ ในสไตล์คลาสสิก หรือหากอยากดื่มคลาสสิกค็อกเทลที่มีรสนุ่มละมุนลงหน่อย ก็ต้องเป็น Whiskey Sour (280 บาท) รสชาติเปรี้ยวหวาน กลมกล่อมอย่างลงตัว เพิ่มมิติให้เครื่องดื่มแก้วนี้ด้วยกลิ่นจากผิวเปลือกมะนาว ทำให้คลาสสิกค็อกเทลแก้วนี้ละมุนลิ้นเหมาะสำหรับสาวๆ

Rob Roy (290 บาท)Whiskey Sour (280 บาท)

คุณหญิงยังกระซิบทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ขันกับเราอีกว่า ที่จริงร้านนี้เหมาะกับคนทุกวัย เพราะแม้จะเสิร์ฟ Alcoholic Ice Cream สำหรับผู้ใหญ่ แต่ Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks ยังมีไอศกรีมซันเดย์รสปกติให้เด็กๆ มาทานไอศกรีมคู่กับคุณพ่อคุณแม่ได้นั่นเอง

Hazel’s Ice Cream Parlor and Fine Drinks
• Address : ถนนจักรพรรดิพงษ์
• Map : goo.gl/maps/sLYpoYicte72
• Time : 17.00 – 23.00 น. หยุดวันจันทร์
• Tel. : 095 918 9898
• Facebook : www.facebook.com/HazelsParlor

Story : Taliw
Photo : Wara Suttiwan

 

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.