“Rue De Mansri” เปลี่ยนอาคารอนุรักษ์ให้เป็น ‘คาเฟ่ควบสตูดิโอ’ จิบกาแฟไปพร้อมกับถ่ายภาพ

Rue De Mansri
เปลี่ยนอาคารอนุรักษ์ให้เป็น
‘คาเฟ่ควบสตูดิโอ’
จิบกาแฟไปพร้อมกับถ่ายภาพ

“…อยากเป็นร้านกาแฟที่เป็นสตูดิโอถ่ายภาพ” คำบอกเล่าถึงความตั้งใจและเปรียบเสมือนจุดเริ่มของการเปลี่ยนอาคารอนุรักษ์หลังเก่าให้กลับมีชีวิตอีกครั้ง ในรูปแบบคาเฟ่สุดเก๋ควบสตูดิโอถ่ายภาพ โดยตั้งชื่อสถานที่แห่งนี้ว่า Rue De Mansri”

แต่หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้น คงต้องกล่าวว่า คาเฟ่กึ่งสตูดิโอถ่ายภาพแห่งนี้เริ่มต้นจากจุดเล็กๆ เป็นความเรียบง่ายที่ไม่ซับซ้อน แต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยความตั้งใจ ซึ่งคุณแทน – ดุษฎี สุวณิชยากุล เจ้าของร้านเล่าให้เราฟังว่า “เริ่มจากผมชอบกินกาแฟ ซึ่งผมคุยกับเพื่อนที่รู้เรื่องกล้อง คุยกันว่าอยากเป็นร้านกาแฟที่เป็นสตูดิโอถ่ายภาพ พอดีกับที่เพื่อนคนนั้นเป็นเจ้าของตึกนี้ ซึ่งไม่ได้ใช้มา 10 กว่าปีแล้ว ปิดอยู่ร้างๆ เลย เราเลยลองมาดู แล้วมันน่าจะเอามาปรับปรุง เปิดเป็นร้านอะไรที่เราคิดอยากจะทำได้ เลยค่อยๆ ปรับปรุงจนมาได้อย่างทุกวันนี้ คือแต่เดิมที่นี่เป็นร้านขายเครื่องเขียน ชื่อร้านไทยการค้า”

“ตอนคิดชื่อร้าน เราคิดแค่ว่า ถนน ภาษาฝรั่งเศสคือ Rue ช่วงนั้นผมดูออเจ้า (บุพเพสันนิวาส) มีถนน Rue De Siam ซึ่งพอดีกับว่ากำลังคิดชื่อร้าน ก็เลยเป็น Rue De Mansri ละกัน เพราะว่าเราอยู่สี่แยกแม้นศรีพอดี”

เมื่อได้ที่ทางแล้ว คุณแทนจึงเริ่มลงมือเปลี่ยนอาคารอนุรักษ์ที่ถูกทิ้งร้างให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยยังคงโครงสร้างเดิมเอาไว้ ดังนั้นตั้งแต่หน้าร้านจรดพื้นที่ชั้น 2 จึงยังคงเสน่ห์อย่างมีมนต์ขลังของอาคารในสมัยรัชกาลที่ 6 เพียงแต่เติมเต็มคาเฟ่กึ่งสตูดิโอให้สมบูรณ์ด้วยการเลือกหาเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่ง ซึ่งคุณแทนตั้งใจให้ที่นี่มีกลิ่นอายฝรั่งเศส จึงไม่แปลกหากชื่อร้านของที่นี่จะเลือกใช้ภาษาฝรั่งเศส

“ไอเดียการตกแต่งคือช่วยกันคิด ใครชอบตรงไหนก็จำกันไว้ แล้วให้ผู้รับเหมาค่อยๆ ปรับปรุง ด้วยอาคารมันเป็นอาคารสมัยรัชกาลที่ 6 ทั้งแถบนี้ก็จะมีความเก่าให้เห็นอยู่ พวกอิฐ ซึ่งเป็นอิฐเก่า สีก็เป็นสีปูนเดิมๆ เราพยายามจะคงความเก่าแก่ไว้ เราอยากอนุรักษ์ความเก่าเอาไว้”

“เราคงโครงสร้างเดิมไว้ทั้งหมด แค่ปรับปรุงให้ใช้การได้ในปัจจุบัน แต่คงความเก่าของมันไว้อยู่”

Rue De Mansri จึงโดดเด่นและสะดุดตาตั้งแต่หน้าร้าน ขณะเดียวกันภายในก็จัดวางเฟอร์นิเจอร์อย่างลงตัว แม้จะเป็นอาคารหนึ่งคูหา แถมยังตกแต่งโดยอนุรักษ์ความเก่าแก่เอาไว้ แต่ที่นี่กลับไม่มืดทึบชวนอึดอัดอย่างที่หลายคนคิด โดยชั้นล่างเป็นที่ตั้งเคาน์เตอร์บาร์ที่พร้อมเสิร์ฟเครื่องดื่มรสอร่อย ขณะที่ชั้นสองของร้านทำหน้าที่เป็นทั้งห้องนั่งเล่นให้ลูกค้านั่งจิบกาแฟเคล้าขนมอบและสตูดิโอถ่ายภาพที่พร้อมด้วยอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้งดีไซน์เก๋ มุมเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับถ่ายแบบ หรืออุปกรณ์ไฟสำหรับช่างภาพ ฯลฯ

 “เครื่องดื่มของเราเบสิคเลย เน้นกาแฟเป็นหลัก เราใช้เมล็ดกาแฟไทย กินง่าย กลมกล่อม จะไม่ติดเปรี้ยว ซึ่งพอดีมีรุ่นน้องที่รู้จัก เขาทำร้านกาแฟตรงอารีย์ ‘คุณหมี’ เจ้าของร้าน Bangkok Espresso Bar ซึ่งสนิทกัน ผมไปทานกาแฟร้านเขาบ่อย ก็เลยขอให้เขามาช่วย ด้วยเรากินกาแฟ แต่เราไม่มีความรู้ด้านเมล็ดกาแฟ เขาก็เลยมาช่วยในส่วนของที่เป็นกาแฟทั้งหมด จะเห็นว่าป้ายชื่อหน้าร้าน เราใช้ว่า Rue De Mansri by Bangkok Espresso Bar  เพราะคุณหมีคือแรงบันดาลใจของผม ผมไปร้านนี้บ่อยและเห็นว่า คุณหมีขายดี รสชาติกาแฟกลมกล่อม ผมเลยเลือกคุณหมีมาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่

เมล็ดกาแฟเบลนด์มาเฉพาะที่นี่ แต่ว่าจะมีน้อยร้านมากที่จะเหมือนของเรา เพราะส่วนใหญ่จะเบลนด์ด้วยการเอาเมล็ดกาแฟของนอก มันก็จะติดเปรี้ยวหน่อย แต่ว่าของผมคนมากินจะชอบ เพราะเบลนด์จากเมล็ดกาแฟไทย กินง่าย ถ้าเป็นคออเมริกาโน่ ผมว่ามากินที่ร้านต้องชอบแน่นอน”

 

Espresso Shot

 

Marocchino (65 บาท)

หลังคำบอกเล่า คุณแทนก็ได้นำ Espresso Shot มาให้ชิม เพื่อยืนยันถึงกาแฟรสกลมกล่อม และต้องบอกว่ากาแฟของที่นี่กลมกล่อมจริงๆ อย่างที่คุณแทนนำเสนอ นอกจากนี้ยังมี Marocchino (65 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ของที่นี่ ซึ่งจุดเด่นยังคงเป็นเมล็ดกาแฟที่เบลนด์มาอย่างพอเหมาะ เมื่อนำมาผสานกับวัตถุดิบอื่นๆ จึงให้รสชาติที่ลงตัว แต่หากคุณไม่นิยมดื่มกาแฟ ที่นี่ยังมีอีกหลายเมนูเป็นทางเลือก ไม่ว่าจะเป็น Italian Soda (75 บาท) เมนูเรียกความสดชื่นที่ไม่ว่าจะสั่งมาดื่มเมื่อไรก็ชื่นใจทุกครั้ง หรือจะลิ้มลอง Black coco mint (75 บาท) แบล็คโกโก้ที่เติมรสหวานกลิ่นสดชื่นด้วยไซรัปมิ้นท์ เป็นอีกหนึ่งเมนูซิกเนเจอร์ควบเมนูขายดีของที่นี่

ความอร่อยยังไม่จบ เมื่อ Rue De Mansri ยังเป็นคาเฟ่เพียงเจ้าเดียว นอกเชียงใหม่ที่ได้เสิร์ฟความอร่อยของเบเกอรี่จากร้าน Nana Jungle ร้านขนมปังโฮมเมดชื่อเสียงในจังหวัดเชียงใหม่ โดย Rue De Mansri เลือกหยิบเมนูคลาสสิกอย่าง ‘ครัวซองต์’ มาจับคู่กับกาแฟรสกลมกล่อม ซึ่งมีให้เลือกถึง 4 ความอร่อยคือ Plain, Almond, Ham Cheese และ Chocolate โดยทางร้านจะอบครัวซองต์สดใหม่แบบวันต่อวัน ทำให้เราได้ลิ้มลองความอร่อยเสมือนไปทานที่เชียงใหม่

Italian Soda (75 บาท)
ครัวซองต์ที่ส่งตรงแป้งโดว์จากร้าน Nana Jungle ก่อนมาอบสดใหม่ทุกวันที่ Rue De Mansri

“เราพยายามคิดว่าจะเอาอะไรมาขายคู่กับกาแฟ ทุกร้านจะขายเค้ก เรายังไม่เห็นว่าร้านไหนเน้นแค่ขนมปังหรือขนมอบ ผมเป็นคนเชียงใหม่โดยกำเนิด เราเกิดที่นั่น โตที่นั่น แล้วก็กลับไปที่นั่นบ่อยมาก ร้าน Nana Jungle เป็นร้านครัวซองต์ที่ตอนนี้ถือว่าท็อปสุดแล้ว เราเลยไปจีบๆ เขาว่าเรามีร้านอย่างนี้ อารมณ์สไตล์ฝรั่งเศส ชื่อร้านเราก็ฝรั่งเศส ตึกผมก็พยายามทำให้เป็นสไตล์ฝรั่งเศส พอดีได้คุยกับ ‘คุณนิโค’ และ ‘คุณออย’ ที่เป็นคนทำแป้งตั้งแต่แรก เขาก็โอเคและอนุญาตให้เราเป็นตัวแทนคนเดียว นอกเชียงใหม่ตอนนี้ ดังนั้นถ้าอยากกินครัวซองต์ Nana Jungle ก็มาที่ร้านเรา”

“เหตุผลที่ผมเลือกทำเลที่ย่านนี้ คงเพราะถนนเส้นนี้ผมจะผ่านบ่อยมาก เห็นตั้งแต่เขายังไม่ปรับปรุง ยังเก่าๆ พอเขาปรับปรุง เรารู้สึกว่าตรงนี้มันเงียบๆ เราก็ลองมาเดินดู แถวนี้มันไม่มีร้านนั่งเลย คือไม่มีร้านที่ให้คนมานั่ง พักผ่อนได้ หลายคนก็เตือนนะ ปรับเซียนนะ ไม่มีที่จอดรถนะ แต่ผมว่าด้วยเส่ห์ของมัน เราเชื่อว่าเราสามารถดึงให้คนเข้ามาซึมซับเอาความเก่าของมัน มันก็เป็นจุดขายจุดหนึ่ง”

Rue De Mansri

Story: Taliw
Photo: Wara Suttiwan

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.