Travel on Budget ทริปเที่ยวแบบไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดของเงินในกระเป๋า เราจะพาคุณไปตะลุยอีกหนึ่งย่านเก่า “บางลำพู” ที่แม้วิถีชีวิตแบบดั้งเดิมจะจางหายไปตามกาลเวลา แต่ภายใต้ความเจริญที่แทรกเข้ามาก็ยังแฝงบรรยากาศและกลิ่นอายความเป็นไทยชวนหลงใหลในอีกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศของเมืองและของอร่อยขึ้นชื่อ จะปักหมุดที่ไหนกันบ้าง ตามไปดูกันเลย
Did you know? : ชื่อเรียก ‘บางลำพู’ มาจากในอดีตย่านนี้เต็มไปด้วยต้นลำพูที่ขึ้นอยู่ริมคลองเป็นจำนวนมาก โดยปัจจุบันต้นลำพูต้นดั้งเดิมและเป็นต้นสุดท้ายได้ตายไปแล้วจากเหตุการณ์น้ำท่วมกรุงเทพในปี พ.ศ. 2554 แต่เดิมบางลำพูเป็นเพียงชุมชนและตลาดเล็กๆ ริมคลอง แต่ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตัดถนนหลายสายขึ้น ทำให้ชุมชนริมคลองแห่งนี้คึกคักจนกลายเป็นบางลำพูในปัจจุบัน
…ดูภาพเต็มตา เพียงแค่ “CLICK” ที่ภาพนั้น
• ถนนพระสุเมรุ
• เวลา 7.00 – 20.00 น. ปิดทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน
ร้านโกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ เรียกได้ว่าเป็นเจ้าของต้นตำรับกาแฟสูตรดั้งเดิมตามอายุของร้านที่เปิดมายาวนานตั้งแต่ปี 2495 โดยสาขาแรกอยู่ที่แยกวิสุทธิกษัตริย์ ปัจจุบันมี 3 สาขาด้วยกัน ซึ่งร้านที่เรานัดแก๊งเพื่อนร่วมตัวกันคือสาขาผ่านฟ้า บนถนนพระสุเมรุ
จุดเด่นของร้านกาแฟร้านนี้คือการเสิร์ฟกาแฟแบบไทยๆ ในรสชาติดั้งเดิมที่สืบทอดต่อกันมา แม้กระทั้งวิธีการชงที่ยังคงเน้นวิธีการดั้งเดิม ขณะเดียวกันก็ผสมผสานความร่วมสมัยลงไป ทำให้โกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่เป็นร้านกาแฟที่เหมาะกับคนทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงญาติผู้ใหญ่ ส่วนการตกแต่งร้านเน้นบรรยากาศคุ้นตา แทรกเสน่ห์ของร้านกาแฟโซห่วยเก่าควบคู่กับบรรยากาศร่วมสมัยอย่างลงตัว ทั้งโต๊ะกลมหินอ่อน ถ้วยชาใบเล็กให้จิบชาร้อนล้างปากหลังดื่มกาแฟ ฯลฯ การไปเยือนร้านกาแฟแห่งนี้จึงให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการไปเที่ยวคาเฟ่ที่เราคุ้นเคย
ส่วนเมนูและเครื่องดื่มนั้น เมนูซิกเนเจอร์ที่ต้องสั่งคือ “ไข่กระทะ” (85 บาท) เมนูนางเอกประจำร้าน เพราะเป็นเมนูที่ทำให้โกปี๊เฮี้ยะไถ่เป็นที่รู้จักของชาวพระนคร เพราะในสมัยก่อนไข่กระทะไม่ใช่เมนูที่หาทานได้ง่ายเหมือนปัจจุบัน โดยร้านโกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ถือเป็นร้านแรกๆ ที่นำไข่กระทะเข้ามาในพระนครนั่นเอง ทานคู่กับเครื่องดื่มร้อนๆ ช่วยเพิ่มความฟินอย่าง “โกโก้ soy ร้อน” (75 บาท) โกโก้ร้อนที่ใช้น้ำเต้าหู้แทนน้ำร้อน เสิร์ฟน้ำตาลอ้อยแยกต่างหากให้เราเติมรสหวานตามชอบ
ใครหิวมากที่ร้านโกปี๊เฮี้ยะไถ่กี่ยังมีอาหารจานหนักอิ่มท้องเสิร์ฟอีกด้วย แนะนำให้ลอง “ข้าวปลาแซลมอนชุบแป้งทอดผัดฉ่า” (L 159 บาท / S 95 บาท) เมนูที่ผสมความเป็นตะวันออกและตะวันตกจนได้รสกลมกล่อม หอมเครื่องเทศสไตล์ผัดฉ่า ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ไม่ลืมสั่ง “โอเลี้ยงเย็น” (60 บาท) กาแฟไทยโบราณที่ให้รสเอกลักษณ์ มาตัดกับรสผัดฉ่าอย่างลงตัว ปิดท้ายด้วย “เปาะเปี๊ยะแฮมชีส” (79 บาท) อีกหนึ่งเมนูประยุกต์สำหรับทานเล่น ด้วยการนำแป้งเปาะเปี๊ยะไปห่อแฮมและชีส ก่อนนำไปทอด เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมซอสให้ดริปเพลินๆ
เมื่ออิ่มหน่ำกับมื้อเช้ากันแล้ว เราขอเดินย้อนเส้นทางเพื่อสำรวจ ‘ชุมชนป้อมมหากาฬ’ ชุมชนเก่าแก่ที่ตั้งเคียงกับวัดราชนัดดารามวรวิหาร โดยชุมชนแห่งนี้ซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงและป้อมมหากาฬ
เหตุผลที่เราเลือกปักหมุดที่นี่มาจากเมื่อปีก่อนได้มาเยือนชุมชนแห่งนี้ ซึ่งทางชุมชนร่วมใจกันจัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต ให้เราเข้าไปทำความรู้จักกับวิถีชีวิตที่ยังคงกลิ่นอายดั้งเดิม โดยเฉพาะบ้านเรือนหลังเก่าที่ยังคงงดงามตามแบบฉบับไทยพื้นถิ่น พร้อมคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนที่ยินดีบอกเล่าเรื่องราวของชุมชนแห่งนี้ ยิ่งเพิ่มความน่ารักจนเราวางแผนกลับไปสำรวจอีกครั้งในทริปนี้
ปัจจุบันชุมชนแห่งนี้ถูกรื้อถอนออกไป ทำให้ภาพที่เห็นมีเพียงซากของอาคารและอดีตที่เคยสงบสุขของชุมชน แม้จะมีป้อมมหากาฬตั้งตระหง่านอยู่เช่นเดิม แต่เมื่อเทียบกับครั้งที่ไปเยือน เราพบว่าความมีชีวิตชีวาได้หายไป
• ถนนพระสุเมรุ
• เวลา 9.00 – 20.00 น. ปิดวันอาทิตย์
เดินสำรวจชุมชนป้อมมหากาฬเป็นที่เรียบร้อย เดินย้อนกลับทางเดิม โดยลัดเลาะผ่านถนนพระสุเมรุมาเรื่อยๆ จะพบกับคาเฟ่เท่ๆ สไตล์ลอฟท์ในชื่อ “Boo Bike” ให้เราหลบร้อนและเติมพลังก่อนไปลุยกันต่อ สำหรับ Boo Bike เป็นสถานที่ที่เราไม่ได้ตั้งใจมาเยือน เพียงแต่ระหว่างทางถูกดึงดูดด้วยกลิ่นกาแฟหอมๆ จนต้องหยุดแวะก่อนถึงจุดหมายต่อไป
Boo Bike เป็นคาเฟ่ที่ตกแต่งในสไตล์ลอฟท์ เน้นความดิบในโทนสีเทาจากปูนเปลือย โดยหน้าร้านโดดเด่นด้วยเคาน์เตอร์กาแฟที่ส่งกลิ่นเชิญชวน ขณะที่ภายในเน้นบรรยากาศเรียบๆ แต่คงคอนเซ็ปต์สไตล์ลอฟท์ เมนูอาหารของที่นี่เป็นอาหารจานเดียวทานง่าย แต่อิ่มท้อง โดยเฉพาะเมนูตะวันตกประเภทเส้นอย่างสปาเก็ตตี้ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของร้าน
ไม่ว่าจะเป็น “Carbonara” (115 บาท) คาโบนาร่ารสกลมกล่อมที่เสิร์พร้อมเบคอนทอดชิ้นโต ส่วนใครอยากทานรสจัดหน่อย แนะนำให้สั่ง “Dried Chilli Bacon” (145 บาท) สปาเกตตี้ผัดพริกแห้ง เติมความอร่อยด้วยเบคอนและไข่ลวก หรือจะลอง “Yakisoba Pork” (150 บาท) สปาเกตตี้สไตล์ญี่ปุ่น เพราะเป็นสปาเก็ตตี้ยากิโชบะหมูย่าง อีกหนึ่งเมนูขายดีของร้าน “Chicken Wings” (85 บาท) ให้เราสั่งมาแชร์กับเพื่อนๆ ระหว่างรออาหารจานหลัก
นอกจากนี้ยังมีขนมหวานและเครื่องดื่มให้เลือกอีกหลากเมนู แต่หากอยากได้เครื่องดื่มเรียกความสดชื่นมาดับอากาศร้อนๆ แนะนำให้ลอง “Berries Mix” (85 บาท) เครื่องดื่มสมูทตี้ปั่นละเอียดให้รสเปรี้ยวอมหวาน ตัดเลี่ยนกับอาหารจานหลักอย่างลงตัว
• ถนนพระสุเมรุ
• เวลา 10.00 – 18.00 น. ปิดวันจันทร์
สถานที่ที่เราปักหมุดว่า ‘ต้องมา’ เพราะพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ทำหน้าที่เสมือนเครื่องไทม์แมชชีนพาเราย้อนอดีตไปรู้จักบางลำพูในอีกมุมมอง โดยพิพิธภัณฑ์แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ อาคารปูนจัดแสดงเรื่องราว ‘ธนารักษ์’ ส่วนเรื่องราวของ ‘บางลำพู’ ถูกจัดแสดงในอาคารไม้หลังข้างๆ
ที่ชวนตื่นตาคงเป็นห้อง ‘พระนครเซ็นเตอร์’ ที่เราชอบใจ เพราะห้องนี้มีการจำลองสถานที่จริงของบางลำพูในอดีต ตั้งแต่ โรงละครนาครบรรเทิง’ หนึ่งในโรงละครชื่อดังของพระนคร ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้จำลองเป็นหุ่นเด็กผู้หญิงกำลังแอบมองละครผ่านรูของสังกะสี เพราะสมัยนั้นละครร้องมีตั๋วเข้าชมที่ไม่ได้ถูกไปกว่าคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีในปัจจุบัน ทำให้ต้องมีการแอบดูเกิดขึ้น
ข้างๆ กันจำลองเป็นหัวรถรางบางลำพู ซึ่งเป็นหนึ่งการคมนาคมที่รุ่งเรืองในอดีต ก่อนจะถูกยกเลิกไปในปี พ.ศ. 2511 อีกทั้งยังมีโรงลิเกหอมหวลที่ให้เราสนุกกับการสวมชุดลิเกแบบดิจิตอล, ห้าง ต.เง๊กชวน สถานที่ผลิตและจำหน่ายแผ่นเสียงไวนิลชื่อดังในอดีต, โรงหนังบุศยพรรณ ที่ฉายหนังบู๊เอาใจคอหนังแอคชั่นของคนรุ่นก่อน ความพิเศษของโรงหนังแห่งนี้คือ จะมีการฉายหนังทั้งกลางวันและกลางคืน ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการจำลองห้างและร้านค้าชื่อดังในอดีตต่างๆ อีกมากมาย อาทิ กาแฟนันทิยา, ภัตตาคารอั้นเฮียงเหลา ตำนานภัตตาคารสารพัดนึกกับเมนูหลากหลาย, ร้านแก้วฟ้า ศูนย์รวมเครื่องหนัง, ร้านเสื้อนพรัตน์ ร้านตัดเย็บเสื้อเชิ้ตเจ้าแรกในไทย เป็นต้น
• ถนนพระสุเมรุ
• เวลา 7.00 – 19.00 น.
ถ้าพูดถึงของอร่อยย่านบางลำพู ก็ต้องคิดถึง “ขนมเบื้องแม่ประภา” ซึ่งร้านนี้เรียกได้ว่าเป็นร้านเก่าแก่ที่อยู่คู่บางลำพูมายาวนาน เพราะก่อนที่จะขายขนมเบื้องให้ลิ้มลอง ที่แห่งนี้คือที่ตั้งของ ‘ห้าง ต.เง๊กชวน’ ร้านแผ่นเสียงชื่อดังที่กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของบางลำพูในอดีต แม้กระทั่งวงสุนทราภรณ์ก็เริ่มอัดเพลงลงแผ่นเป็นครั้งแรกที่ต.เง๊กชวนแห่งนี้
แม้ภายหลังห้างต.เง๊กชวนจะปิดตัวลง แต่กลับแทนที่ด้วยขนมเบื้องสูตรอร่อยชวนติดใจ โดยเฉพาะไส้ที่อัดแน่นเต็มแผ่นแป้ง โดยไส้หวานจะเป็นสูตรดั้งเดิมที่ขายมาตั้งแต่เริ่มกิจการจนตอนนี้ก็มีอายุกว่า 60 ปี ขณะที่ไส้เค็มเป็นรสที่ต่อยอดมาจากสูตรดั้งเดิมอีกที
เคล็ดลับความอร่อยของขนมเบื้องแม่ประภาอยู่ที่แป้ง ซึ่งเป็นแป้งถั่วด้วยการนำข้าวเก่าไปโม้กับถั่วทอง จนได้แป้งที่กรอบ แฝงความหนึบ เมื่อรวมกับไส้จึงกลายเป็นความอร่อยที่ลงตัว โดยไส้หวานที่ทำจากมะพร้าวคลุกน้ำตาลปี๊บ เติมลูกพลับแห้ง และโรยด้วยฝอยทองหอมหวาน ส่วนไส้เค็มให้รสที่แตกต่างด้วยกุ้งสับผสมกับพริกไทย ใบมะกรูด รากผักชี ให้รสกลมกล่อมแบบไทยๆ โดยจำหน่ายชิ้นละ 12 บาทและเราสามารถสั่งเท่าไรก็ได้ตามต้องการ จะลองชิม 2 ชิ้นหรือสั่งมาเป็นเซ็ต 10 ชิ้น 120 บาทก็ไม่ว่ากัน
เลยจากร้านขนมเบื้องแม่ประภาไปไม่ไกล จะพบกับร้าน “ข้าวตังทรงเครื่อง ‘แม่ขิต’” อีกหนึ่งร้านระดับตำนานของย่านบางลำพู ซึ่งขายมากกว่า 70 ปีแล้ว ที่สำคัญข้าวตังทรงเครื่องสูตรดั้งเดิมของร้านนี้ยังหาทานยากมากในปัจจุบัน ดังนั้นระหว่างทางหากเห็นรถเข็นคันนี้ ก็อย่าลืมซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนที่บ้านหรือจะเก็บไว้ทานเองก็ไม่ว่ากัน
• ถนนพระสุเมรุ
• จันทร์ – เสาร์ เวลา 8.30 – 19.00 น. และวันอาทิตย์ เวลา 8.30 – 18.00 น.
อย่าเพิ่งอิ่ม! เพราะหลังจากอร่อยกับขนมเบื้องแม่ประภาแล้ว ให้เดินต่อไปเรื่อยจนถึงแยกหัวมุมวัดบวรนิเวศจะพบกับร้าน “ปาท่องโก๋คาเฟ่” ที่เสิร์ฟปาท่องโก๋ประยุกต์ในรูปแบบคาวหวาน แต่ความอร่อยชวนติดใจต้องยกให้กับความกรอบของปาท่องโก๋ ซึ่งทางร้านนำปาท่องโก๋เสวยไปย่างไฟอ่อน ทำให้คงความกรอบ แม้จะเติมรสด้วยด้วยสังขยา ไอศกรีม หรือน้ำยำก็ไม่ทำให้ปาท่องโก๋นิ่ม
เมนูแนะนำชวนลิ้มลอง เริ่มจาก “ปาท่องโก๋ไอศกรีม” (S 40/ L 80 บาท) ปาท่องโก๋ที่นำไปย่างให้หอมกรอบ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมที่ให้เราเลือกรสได้ตามชอบ เติมความอร่อยด้วยนมข้นและสังขยา ต่อกันด้วยเมนูคลาสสิกกับ “ปาท่องโก๋ย่าง” (40 บาท) เมนูที่นำเสนอความอร่อยของปาท่องโก๋ให้เราสัมผัสความหอมกรอบของแป้ง เติมรสชาติด้วยการราดสังขยา หรือจะเลือกรสอื่นๆ ก็ได้ อาทิ ช็อกโกแลต, นมข้น, ส้ม หรือสตรอเบอร์รี่
อีกหนึ่งเมนูปาท่องโก๋ประยุกต์ที่นำปาท่องโก๋ไปครีเอทรสชาติให้เป็นของคาวกับ “ปาท่องโก๋ย่างทรงเครื่องทะเล” (60 บาท) เมนูยำที่เราคุ้นเคย เพียงแต่เปลี่ยนวุ้นเส้นให้เป็นปาท่องโก๋ย่างจนได้เมนูยำที่มีเทกเจอร์กรุบกรอบมาเพิ่มความอร่อย ส่วนเครื่องดื่มแนะนำให้เลือกเครื่องดื่มเรียกความสดชื่น เพื่อตัดความหวานของสังขยาและไอศกรีมอย่าง “ชามะนาว” (30 บาท) หรือ “ชาดำเย็น” (30 บาท) ก็ได้อรรถรสเช่นกัน
สำหรับทริป “Travel on Budget ‘บางลำพู’ พาเที่่ยว 1 วัน เริ่มจากชุมชนเก่าสู่ของกินเจ้าอร่อย” คราวนี้เราใช้จ่ายไปประมาณ 1,398 บาทต่อ 3 คน เมื่อหารแล้วจะเฉลี่ยคนละ 466 บาทเท่านั้น!!
Photographer: Wara Wuttiwan
Videographer: Sroisuwan.T
Writer & Creator: Taliw