24 ชั่วโมงใน “เชียงใหม่” หนีร้อน พักใจ ไม่เสียงาน

หมดวันหยุดสงกรานต์ เตรียมเฮต่อกับวันหยุดยาวเดือนพฤษภาคม แต่สำหรับบางคนที่ต้องทำงานแบบ Non-stop ไม่มีวันหยุด แถมยังโดนไปสัมมนาที่เชียงใหม่ วันนี้ Favforward ขอจัดทริปสั้นๆ สำหรับใครที่มีเวลาเพียงแค่ 24 ชั่วโมงได้พักใจ ลองไปเช็คอินที่เหล่านี้ เติมความสุข พร้อมใส่ความชิลให้ชีวิตกัน

8.00 AM @ Bread Homemade

ตื่นเช้ามาถ้าไม่อยากทาน Breakfast ของโรงแรมหรือบริเวณที่พัก แวะมาลองชิมขนมปัง Home made ในนิมมานซอย 13 กับร้านที่มีชื่อว่า Flour Flour ร้านขนมปังโฮมเมดขนาดกะทัดรัด ทำขนมปังเพื่อสุขภาพ ซึ่งทางร้านใช้ยีสต์ที่เกิดจากการหมักผลไม้ แป้ง และน้ำเปล่า ดังนั้นขนมปังที่ได้จึงปลอดภัยจากสารปรุงแต่งอื่นๆ 100% จำนวนไฟเบอร์สูง ช่วยให้กระบวนการย่อยอาการย่อยได้ช้าลง ขนมปังจะไม่ไปบวมอยู่ในท้องเหมือนขนมปังจากยีสต์อุตสาหกรรมทั่วไป ให้รสสัมผัสนุ่ม สเปรดแนะนำของที่นี่ ผสมกันได้ลงตัวกับตัวขนมปัง ได้แก่ เนยถั่วน้ำผึ้ง หน้างาขี้ม่อน และช็อกโกแลตฮาเซลนัท

ร้านเปิดตั้งแต่ 8.00 – 11.00 ปิดวันอาทิตย์

10.00 AM @ ม่อนแจ่ม

รองท้องกันไปบ้างแล้ว ได้เวลาออกเดินทางไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ “ม่อนแจ่ม” ถ้ามาหน้าหนาว ที่นี่คงเป็นอีกที่ที่บรรยากาศดีไม่แพ้จุดสูงสุดแดนสยาม ที่สำคัญจะได้เห็นหมอกยามเช้า มองเห็นวิวทิวทัศน์โดยรอบ แนวทิวเขาสลับสับเปลี่ยนคล้ายลูกคลื่น  ม่อนแจ่มตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม นอกจากการขับรถขึ้นมากว่า 1 ชั่วโมงจะได้เห็นธรรมชาติแสนสวยงาม ที่นี่ยังมีหมู่บ้านม้ง เด็กๆหน้าตาน่ารักพร้อมนั่งรอให้คุณมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อีกด้านก็จะเป็นไร่ปลูกพืชต่างๆของโครงการหลวง ม่อนแจ่มตั้งอยู่บนสันเขาบริเวณหมู่บ้านม้งหนองหอย เดิมทีบริเวณนี้ชาวบ้านเรียกว่ากิ่วเสือเป็นป่ารกร้าง ต่อมาชาวบ้านเข้ามาแผ้วถางและปลูกฝิ่น จนในท้ายที่สุดโครงการหลวงมาขอซื้อพื้นที่เข้าโครงการหลวงหนองหอย เมื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโครงการหลวง คุณแจ่ม-แจ่มจรัส สุชีวะ หลานของ ม.จ. ภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวงได้เข้ามาพัฒนาและปรับปรุงบริเวณม่อนแจ่มให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่นอกจากจะมีนักท่องเที่ยวมาแบบขาจรวันเดียว ยังสามารถมานอนดูดาวชมบรรยากาศพักค้างในรูปแบบแค้มปิ้งรีสอร์ทได้อีก

หลังจากเดินชมบรรยากาศอย่างพอใจ ตรงบริเวณทางขึ้นยังมีกิจกรรมสนุกๆ ให้ทำ เป็นการแข่งรถไม้ไถลลงมาตามเนินดินระยะทางกว่า 400 เมตร คล้ายๆ แข่งรถแข่ง F1 แต่ย่อส่วนให้ดูเข้ากับบรรยากาศบนดอยสักหน่อย สำหรับคนชอบแนว Adventure ได้เล่นก่อนกลับลงจากม่อนก็สนุกไม่เบา

12.00 PM @ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์

ถ้ายังไม่หิว แวะเที่ยวกันต่อที่สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ เนื้อที่ประมาณ 6,500 ไร่ ตั้งอยู่บริเวณชายเขตอุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ-ปุย อ. แม่ริม จ. เชียงใหม่ พื้นที่เต็มไปด้วยพรรณไม้ไทยเพื่อการอนุรักษ์ ขยายพันธุ์ ศึกษาวิจัย และบริการความรู้ทางด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เส้นทางเดินแบ่งออกเป็น 18 ส่วน แต่ถ้าจะเดินจนครบทุกส่วน อาจจะต้องใช้เวลาเกือบทั้งวัน เราจึงเลือกเดินชมส่วนแรกที่เรียกได้ว่าเป็นกระแสในโลกโซเชียล ทางเดินเหนือเรือนยอดไม้หรือ “Canopy Walkway” เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนธันวาคม 2558 สะพานดีไซน์ด้วยแบบโครงสร้างเหล็กกล้า Hot Dip Galvanized ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี จึงรับรองความปลอดภัย อีกทั้งระยะทางบางช่วงยังมีกระจกใส สามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้อย่างสวยงาม สำหรับใครที่ชอบถ่ายรูปแบบฮิปสเตอร์ หากแสงแดดมาในจังหวะพอดี อาจได้ภาพสุดเท่ลวดลายเส้นเงาของสะพานเก็บกับไปเป็นที่ระลึก นอกจากการเดินชิลบนสะพานเหล็กถ่ายรูปสวยๆ นักท่องเที่ยวยังได้สัมผัสถึงความสวยงามของธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้น้อยใหญ่ แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะเป็นทิวสนสามใบ ต้นหมาก ต้นสน ต้นกำญาณ ต้นตะแบก ต้นตะคำ ฯลฯ ในป่าเบญจพรรณที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก จบจากการชมวิวที่ความสูงเหนือน้ำทะเล 800 เมตร เราก็เดินมาต่อยังจุดชมพรรณไม้ต่อไป “Glasshouse Complex” อาคารเรือนกระจก 12 หลังตั้งอยู่บนคันดินไล่สเต็ปลงไปตามพื้นที่ แบ่งแยกพรรณไม้ตามกลุ่มต่าง โดยเฉพาะพรรณไม้หายากและมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ เป็นสถานที่ที่นักวิชาการ นักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ทั้งผู้สูงอายุ และเด็กๆ สามารถเข้าเที่ยวชม เรียนรู้สัมผัสคุณค่า และความงดงามของพรรณไม้ได้ตลอดทั้งปีทุกฤดูกาล

เรือนกระจก เป็นโรงเรือนที่ได้รับการจัดสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่จัดแสดงพืช ภายในมีการจัดปลูกและตกแต่งด้วยพืชประเภทเดียวกันชนิดต่างๆ ให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากที่สุด สามารถควบคุมความชื้น แสงหรืออุณหภูมิได้ในระดับหนึ่งให้ใกล้เคียงกับสภาพธรรมชาติที่พืชต้องการ วัสดุที่ใช้เป็นโครงร่างของอาคารต่างๆ จะเป็นโลหะผสมที่มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และไม่เป็นสนิมสามารถรับน้ำหนักได้มาก และมีความยืดหดตัวได้สูง กระจกที่ใช้สามารถกรองแสงและถ่ายเทระบายความร้อนได้ดี กลุ่มอาคารเรือนกระจกของสวนพฤกษศาสตร์ อาทิ เรือนแสดงไม้ป่าดิบชื้น จัดแสดงสภาพป่าและพันธุ์ไม้ป่าดงดิบ สร้างบรรยากาศภายในด้วยเครื่องพ่นหมอกให้มีความชุ่มชื้นสูง เรือนไม้น้ำจัดแสดงไม้น้ำและพืชชุ่มน้ำชนิดต่าง ๆ โดยเน้นพันธุ์บัวของไทยเป็นหลัก  เรือนกล้วยไม้และเฟิน แต่ที่สะดุดตาคงเป็นส่วน เรือนพืชทนแล้ง จัดแสดงพืชไม้แล้ง พืชสกุลกระบองเพชรชนิดต่างๆ พืชสกุลศรนารายณ์ กุหลาบหิน เสมา และไม้แล้งทรงสูง แม้เราจะเคยเห็นต้นกระบองเพชรมามาก แต่ที่นี่ทั้งขนาดใหญ่มหึมา รวมถึงลำต้นสวยงามเรียงรายล้อมเต็มพื้นที่ไปหมด จนอดถ่ายรูปสวยๆ กลับไปไม่ได้

เวลาทำการ :        ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30 – 16.30 น.

ค่าเข้าชม:             ผู้ใหญ่ 40 บาท, เด็ก 20 บาท, นักเรียน/นักศึกษา 10 บาทผู้สูงอายุเกิน 60 เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี พระภิกษุ                                         สามเณร และผู้พิการ ไม่เสียค่าเข้าชม

3.00 PM @ Grand Canyon

หลังจากขึ้นเขาลงห้วยกันสนุกสนาน ถึงเวลาต้องกลับสู่พื้นดิน เลยขอข้ามฝั่งไปเชี่ยมชมแกรน แคนยอนเชียงใหม่ ท้าองศาแดดกันสักหน่อย จุดเริ่มต้นของคันดินทอดยาว แต่เดิม Grand Canyon คือบ่อดินที่คุณฉัตรกรินทร์ ตระกูลอินสัน  ได้ขุดหน้าดินไปขายเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จนเวลาล่วงเลยกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีขนาดพื้นที่ความกว้างประมาณ 30 ไร่ มีคันดินสูงเกือบ 15 เมตร หรือขนาดของตึก 3 ชั้น ลักษณะเป็นหน้าผาเหมือนแกรนแคนยอน รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เกิดจากการกัดเซาะของกระแสน้ำตามธรรมชาติ น้ำสีฟ้าฟ้าใส ชวนให้เหล่านักท่องเที่ยวหลายคนอยากกระโดดเล่น โดยเฉพาะกลุ่มที่ชอบความผาดโผน สถานที่แห่งนี้คงจะโดนใจอยู่ไม่น้อย ทั้งพายเรือ กระโดดหน้าผา หรือนอนเล่นมองท้องฟ้าบนแพกลางน้ำ

5.00 PM @ บ้านข้างวัด

ถึงเวลาชาร์จพลังให้ท้อง เติมพื้นที่ว่างให้สุขล้นอิ่มนาน เราจึงตรงดิ่งไปที่  “โครงการบ้านข้างวัด” พิกัดอยู่ที่ซอยวัดอุโมงค์ – วัดร่ำเปิง ลงรถปุ๊บเหมือนหลงเข้าดินแดนอันย้อนยุค โดดเด่นไม่เหมือนใครทั้งในเรื่องสถาปัตยกรรมและวิถีชุมชนที่นำมาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้อย่างลงตัว ในวันที่เราไปเป็นวันเสาร์ซึ่งบ้านข้างวัดมีตลาดเปิดขายของเพิ่ม ทั้งของทานเล่น หรือของมือสองนานาชนิด อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า หมวก หรือของตกแต่งบ้านงานแฮนด์เมด แต่จริงๆ ในพื้นที่ของโครงการ มีบ้านทั้งหมด 11 หลัง ลักษณะบ้านไม้ 2 ชั้นเน้นการออกแบบให้เป็นเหมือนเป็นชุมชนที่ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ที่สำคัญมีแปลงผัก โรงเพาะเห็ด สถานที่ทำ Workshop งานฝีมือและลานสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ไว้ใช้ร่วมกันจำลองชีวิตความเป็นอยู่สมัยก่อน ภายในโครงการจะมีร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านกาแฟ, ร้านอาหาร ร้านขายของแฮนด์เมด ซึ่งหน้าโครงการจะมีลานกว้างๆไว้สำหรับให้ผู้คนในชุมชนมาทำกิจกรรมกลางแจ้งกัน เราอาจจะใช้เวลากับที่นี่ไม่นานเพราะมาถึงช่วงใกล้เวลาปิด แต่ก็ได้ชิม ช้อปของติดไม้ติดมือกลับไปไม่น้อยเลยทีเดียว

เวลาเปิด -ปิด : 10.00-18.00 น. หยุดวันจันทร์

8.00 PM @ ถนนคนเดินวัวลาย

ก่อนเข้านอนวันนี้ เดินย่อยอาหารกันสักหน่อยที่ถนนคนเดินวัวลาย จะเปิดทุกๆ วันเสาร์ ช่วงเย็นเป็นต้นไป ถ้าใครมาท่องเที่ยวที่นี่ทุกวันหยุด แน่นอนว่าจะต้องแวะมาช้อป ชิลล์ปลิวอารมณ์เดินชมแสงสีของเชียงใหม่ไปเรื่อยๆ ตามถนนทอดยาวอยู่เกือบขนานไปกับถนนคูเมือง มุ่งหน้าไปทางสนามบินเชียงใหม่ นอกจากร้านอาหารที่ต่างจับจองเต็มพื้นที่ขายของ ที่นี่ยังถือเป็นถนนสายวัฒนธรรม มีแหล่งเครื่องเงินโบราณ งานไม้ กระเป๋าผ้าเพนท์ลายด้วยมือ กางเกงสไตล์ล้านนาประยุกต์ และอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงของทานยากแบบพื้นเมืองดั้งเดิม อาทิ ขนมหนุกงาหรือไข่ป่าม ระหว่างทางยังมีศิลปินเปิดหมวกทั้งวัยเด็กเล็ก เด็กโต วัยรุ่น คนชรา มายืนขับกล่อมบรรเลงเสียงเพลงให้เราสนุกสนานเพลิดเพลินกับการเดินยิ่งขึ้น ถ้าใครอยากมาเดินที่ถนนวัวลาย แนะนำว่าให้นั่งรถแดงมาดีที่สุด เพราะที่จอดรถค่อนข้างหายากสักหน่อย หรือ ถ้าขี่มอเตอร์ไซค์มา สามารถจอดบริเวณลานตรงข้ามแยกวัวลายได้ เดินจบอิ่มท้อง อิ่มใจ และยังอิ่มตาเมื่อได้พบปะคนเดินมากหน้าหลายตาที่ทั้งหล่อ สวย น่ารักแบบละลานตา

จบทริป 1 วันสำหรับใครที่มีเวลาค่อนข้างจำกัดแต่อยากเที่ยวได้ครบๆ เชียงใหม่ นับเป็นอีกจังหวัด ที่ไม่ต้องรอให้ถึงหน้าหนาว ก็สามารถมาเที่ยว ช้อป ชิมอาหารสนุกสนานได้ทุกซีซั่น

เรื่อง: Porko

ภาพ: Wara,Sep,Porko

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.