เคยถามตัวเองบ้างไหม “ว่าอายุขนาดนี้ แต่ทำไมไม่มี ความก้าวหน้า หรือประสบความสำเร็จสักทีในหน้าที่การงาน” คงมีช่วงขณะสั้นๆ ที่คำถามนี้แวบขึ้นมาให้สะกิดเรา แต่จะมีใครสักกี่คนที่นำคำถามนี้มาคิดพิเคราะห์อย่างจริงจัง ถึงสาเหตุที่เราไม่ประสบความสำเร็จสักที หรือใครอีกหลายคนอาจจะเคยหยิบคำถามนี้มาครุ่นคิด แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน วันนี้เรามีไกด์ถึง 5 สาเหตุใหญ่ๆ ที่เป็นตัวฉุดรั้งทำให้เราไม่มีความก้าวหน้าและไม่ประสบความสำเร็จเรื่องงานมาฝาก
แน่ใจหรือยังว่า “เป้าหมายในชีวิต” ของคุณคืออะไร การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องมั่นใจในเป้าหมายก่อน ว่าอยากประสบความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ จริงหรือไม่ ลองครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง โดยไม่ต้องจำกัดเพียงแค่ ‘ทำได้’ หรือเป็น ‘งานที่ถนัด’ เพราะสิ่งที่ทำได้หรือเป็นงานถนัด อาจเป็นแรงผลักดันไม่มากพอที่จะทำให้เราพุ่งสู่ความสำเร็จ
หลายคนที่ไม่ประสบความสำเร็จสักที อาจจะมีสาเหตุมาจาก ‘เป้าหมายที่ไม่ชัดเจน’ เพราะเมื่อเป้าหมายไม่ชัดเจน เส้นทางที่พาเราสู่ความสำเร็จก็ไม่ชัดเจนไปด้วย ก็เหมือนการขับรถตอนกลางคืนที่ไม่ได้เปิดไฟหน้ารถ มีเพียงไฟข้างทางที่สลัว กว่าเราจะถึงบ้านก็ต้องคลำทางอย่างยากลำบาก ในทางกลับกันหากเราชัดเจนในเป้าหมาย แสงสว่างจากไฟหน้ารถ ซึ่งเปรียบเสมือนความมุ่งมั่นของเรา จะทำหน้าที่ส่องให้เส้นทางชัดเจน จนเราสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างไม่ต้องกลัวอุปสรรค
เมื่อเจอเป้าหมายที่ใช่ หลายคนรีบพุ่งตัวไปทันที ซึ่งนั่นเป็นการกระทำที่ดี แต่การออกเดินทางไปในเส้นทางนั้น นอกจากคุณต้องมี ‘สติ’ และ ‘ปัญญา’ แล้ว อยากให้ลองมองไปข้างหน้าของเส้นทางที่เลือกเดินดูก่อน เส้นทางที่คิดว่าใช่เป็นทางตรงที่ทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุดหรือเปล่า การเดินเส้นทางตรงๆ ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ทำให้เราเสียเวลา
ทำไมต้องมองหาทางลัด เดินทางตรงไม่ดีกว่าหรือ? เพราะเราไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อยากประสบความสำเร็จในอาชีพนั้น ยังมีคนอีกหลายล้านคนที่คิดเหมือนเรา การมองหาทางลัดจะทำให้เราถึงจุดหมายได้รวดเร็วกว่า ก็คงเหมือนการขับรถที่หลายคนมักมองหาซอยลัดเลาะเพื่อไปถึงที่หมาย โดยไม่ต้องไปเผชิญรถติดบนถนนเส้นหลักนั่นแหละ
‘ออกสตาร์ทเร็วก็ได้เปรียบ’ คงเป็นคำพูดที่ทั้งถูกและผิด การออกสตาร์ทเพื่อพุ่งเข้าสู่เป้าหมายได้เร็วย่อมได้เปรียบ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าเราจะประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะคนเรามักชอบ ‘แวะพัก’ ระหว่างทาง จนทำให้คนรุ่นหลังแซงหน้าไปทุกที
หลายคนมักให้เหตุผลของการแวะพักระหว่างทางว่า ‘ยังมีเวลาอีกเยอะ’ จนทำให้เราติดลมไปกับสิ่งที่ไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่อย่าลืมว่า ‘เวลาไม่เคยหยุดเดิน’ การหยุดแวะพักไปทำอย่างอื่นเพียง 1 เดือนหรือ 1 ปี อาจทำให้เส้นชัยที่เห็นรำไรถอยห่างออกไปจนมองไม่เห็น และกว่าจะรู้ตัวเราก็กลายเป็นคนหลงทางที่ไม่ประสบความสำเร็จไปซะแล้ว
การมีความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งดี แต่คุณต้องมองเห็นความเป็นจริงด้วย เพราะมีหลายคนที่เชื่อมั่นในตัวเองจนเกินไป จนมองไม่เห็นข้อผิดพลาดของตัวเอง เมื่อเราผิดพลาดซ้ำๆ โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคือข้อเสียที่คอยฉุดรั้งของตัวเอง สิ่งที่เกิดขึ้น แทนที่เราจะเดินไปข้างหน้า เรากลับย่ำเท้าอยู่กับที่ เส้นชัยที่ตั้งไว้ก็ไม่มีวันมาถึง
หรือบางคนเชื่อมั่นในความสามารถจนลืมพัฒนาตัวเอง แต่คุณอย่าลืมยังมี ‘คลื่นลูกหลังที่มาแรงกว่า’ ความสามารถที่มากมายในวันนี้ อาจกลายเป็นเรื่องธรรมดาในอนาคต และนั่นจะกลายเป็นข้อด้อยที่ทำให้คนรุ่นหลังที่มีไฟมีความสามารถมากกว่าแซงหน้าไปได้
การจะประสบความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ง่าย เพราะคุณต้องมีความสามารถควบคู่กับการมองให้เห็นความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่เราจะฟังเสียงของเพื่อนรอบข้างดูบ้าง เพราะเสียงของคนอื่นจะเป็นเครื่องมือที่ทำให้เราเข้าใจข้อด้อยของตัวเอง แล้วเอาข้อเสียนั้นมาพัฒนาตัวเองซะ เพราะการไม่หยุดพัฒนาตัวเองจะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าได้ไกลขึ้น แถมสปีดในการวิ่งของเราไม่ตก
คำว่า comfort zone ทำให้เราอุ่นใจมีความสุข แต่อย่าลืมว่า comfort zone อาจไม่ใช่พื้นที่ที่ทำให้เราประสบความสำเร็จ ยิ่งถ้าคุณอยู่ทำงานอยู่ในบริษัทที่มีระบบผู้อาวุธโสมาก่อน การจะก้าวถึงจุดสูงสุดของอาชีพอาจมาถึงในวัยใกล้เกษียณ นอกจากนี้ถ้าเรามัวแต่หลบอยู่ในพื้นที่เดิมๆ เผชิญกับปัญหาเดิมๆ ไม่กล้าก้าวออกจากความคุ้นเคย เพื่อพบสิ่งใหม่ๆ แล้วจะมีแรงกระตุ้นให้เราพัฒนาตัวเองขึ้นได้อย่างไร
อย่าลืมว่าการพัฒนาตัวเองที่รวดเร็วที่สุดคือ ‘ประสบการณ์’ ยิ่งมากด้วยประสบการณ์ก็ยิ่งวิ่งได้เร็ว โอกาสวิ่งเข้าใกล้เส้นชัยยิ่งมีมากขึ้น และการจะมีประสบการณ์มากมาย คุณต้องเผชิญกับความหลากหลายของปัญหา และการแก้ปัญหาหลากหลายก็มาจากการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง แต่หากเราเอาแต่มีความสุขในพื้นที่เดิมๆ ประสบการณ์ของเราจึงมีวงจำกัด ดังนั้นการขยับออกจาก comfort zone อาจไม่มั่นคง แต่ก็ดีกว่าการย้ำอยู่กับที่ที่ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะถึงเส้นชัยสักที
LET’S THINK ABOUT… แน่ใจแค่ไหนว่าที่ตรงนั้นคือเส้นชัยของเรา ความไม่แน่ชัด ทำให้เราจึงไม่รู้ตัวสักทีว่าประสบความสำเร็จแล้ว เราอาจจะวิ่งเลยเส้นชัยไปแล้วก็ได้
เชื่อว่าหลายคนคงสับสนว่า จุดที่ยืนอยู่คือความสำเร็จของเราแล้วหรือยัง จริงอยู่คำว่า ‘ความสำเร็จ’ ไม่มีกฎเกณฑ์หรือมาตรฐานในการวัด จึงไม่แปลกหากหลายคนจะไม่รู้ว่าได้เดินทางมาถึงเส้นชัยแล้ว ขณะที่หลายคนกลับเข้าใจผิดคิดว่าจุดที่ยืนอยู่นั้นคือเส้นชัยทั้งๆ ที่ยังเดินไม่ถึง
หลายครั้งที่เราเห็นเพื่อนวิ่งถึงเส้นชัยแล้ว แต่กลับไม่รู้ตัวจนวิ่งเลยเส้นชัยนั้นไป ซึ่งการวิ่งเลยเส้นชัยอาจจะไม่ใช่เรื่องผิดร้ายแรง เพียงแต่จะทำให้คุณเหนื่อยเปล่า ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือนการวิ่งมาราธอนที่คุณวิ่งเข้าเส้นชัยไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัวจนต้องวิ่งไปเรื่อยๆ สิ่งที่คุณได้จึงมีเพียงความเหนื่อยล้า ทั้งๆ ที่คุณควรได้นั่งพักและดื่มด่ำกับเหรียญทองที่ได้มา …แล้วต้องทำยังไงถึงจะรู้ว่าเราประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง?
คำตอบตายตัวเราคงไม่มีให้ มีเพียงคำแนะนำว่าให้ “ลองย้อนมองกลับไปยังเป้าหมายของตัวเอง แล้วตั้งเกณฑ์ให้แน่ชัดไปเลยว่าความสำเร็จในความหมายของเราคืออะไรกันแน่” บางคนมองที่ ‘ความสุข’ นั่นคือหากมีความสุขกับงานที่ทำ ความสุขนั้นก็คือเส้นชัย ขณะที่หลายๆ คนมองที่ ‘ตัวเงิน’ หรือ ‘ตำแหน่ง’ ยิ่งได้เงินมากเท่าไร มีตำแหน่งสูงๆ ในบริษัทก็คือเครื่องการันตีความสำเร็จ ฯลฯ ดังนั้นการประสบความสำเร็จของแต่ละคนจึงไม่มีเกณฑ์ตายตัวที่วัดอย่างแท้จริง ลองย้อนกลับไปทบทวนเป้าหมายให้ดีๆ เพราะคุณอาจจะประสบความสำเร็จแล้วก็ได้ เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว แต่ทั้งนี้คุณต้องมั่นใจว่าคุณประสบความสำเร็จจริงๆ ไม่ใช่กำลังโกหกตัวเองอยู่!!