GOD CHANGED MY LIFE : โบ สุรัตนาวี

GOD CHANGED MY LIFE : โบ สุรัตนาวี

ทันทีที่ได้พูดคุยกับ โบ สุรัตนาวี สุวิพร เราพบว่าเธอมีเรื่องราวหลายแง่มุมที่น่าสนใจไปกว่าการเป็นดูโอ้สาวแห่ง Triumphs kingdom ที่ครั้งหนึ่งเคยโด่งดังถึงขั้นเป็น Influencer ของวัยรุ่นไทยช่วงปลายยุค 90s ประสบความสำเร็จมามากมาย ได้ทั้งเงินและชื่อเสียง หากมองจากสายตาคนภายนอก ก็นับว่าเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาอยู่ทีเดียว 

ตอนนี้สถานะของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมไม่น้อย ทำสิ่งต่างๆ มากมาย เป็นดีเจ เป็นพิธีกรรายการทางโทรทัศน์ เป็นรองผู้อำนวยการสถาบันสอนภาษา เป็นคนทำงานด้านการสร้างประโยชน์ต่างๆ ให้กับสังคม รวมทั้งเป็นภรรยาที่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่มีลูก…

แต่คำถามตัวโตๆ ที่ติดอยู่ในใจเธอเสมอนั่นคือ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ใช่ความสุขที่แท้จริงหรือเปล่า?

โบ ออกตัวกับเราหลายครั้งว่าเธอไม่ใช่คนเก่ง ตั้งแต่เด็กผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง หนีเรียนเก่งกว่าเข้าเรียน ปาร์ตี้อยู่เป็นนิจ ทั้งยังเคยข้องเกี่ยวกับยาเสพย์ติด แถมหน้าตาก็ไม่ได้สวยอย่างดาราทั่วไป… (ข้อสุดท้ายผู้เขียนแอบเถียงอยู่ในใจ…)

แต่สิ่งที่น่าสนใจนั่นคือ เธอเฝ้าค้นหาตัวเองอยู่เสมอ จบวันหนึ่งกลับพบว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว อะไรคือสิ่งที่ชอบ และสร้างความสุขที่แท้จริง

จากวัยรุ่นผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตแบบไร้กรอบและกฎเกณฑ์ กลายมาเป็นคริสเตียนที่เชื่อมั่นในหนทางแห่งพระเจ้า แบ่งปันความรักและความปรารถนาดีแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ

อะไรคือจุดย้อนแย้งให้ชีวิตพลิกผันได้ถึงเพียงนี้
“บางทีโบยังแทบไม่เชื่อตัวเองเลยนะว่าจะกลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบที่มากกกก (เน้นเสียง) ได้ขนาดนี้” โบเริ่มเล่าด้วยรอยยิ้ม

“ตอนนั้นโบเข้ามาในวงการตั้งแต่ยังเด็ก น่าจะ 17 หรือ 18 เป็นคนชนชั้นกลางธรรมดาๆ ซึ่งเป็นวัยที่โบยังไม่สามารถควบคุมคำพูด ความคิด การกระทำอะไรหลายๆ อย่างได้แบบที่ควรจะเป็น ประสำความสำเร็จ มีชื่อเสียง เงินทองเริ่มเข้ามาทำให้เราเริ่มหยิ่ง แต่พอมาวันหนึ่งเราต้องกลับเข้ามาทำงานตามระบบ ไปทำงานออฟฟิศที่มีกรอบชัดเจน เราจึงเหวอ ทำตัวไม่ถูก รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา แต่ก็ไม่รู้นะว่าปัญหาจริงๆ แล้วมันคืออะไรกันแน่ เพราะเอาจริงๆ แล้วชีวิตเราก็ดีนะ แทบจะทุกด้าน ก็เลยเริ่มมองหาหนทางแห่งความสงบ ไปอยู่วัด ปฏิบัติธรรม พอกลับมาเราก็รู้สึกว่าดีนะ มันสงบ มีสติ แต่พอกลับมาอยู่ในสังคมเดิมๆ ของเรา โบก็ยังไปเที่ยว ทำตัวเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรหลังจากนี้ ก็เลยลองอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดูว่า เราจะมีความสุขที่แท้จริงได้อย่างไรหลังจากนี้…”

เกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
“มีอยู่วันหนึ่ง พี่บอย (โกสิยพงษ์) โทรมา บอกให้มาหาที่บ้าน เค้าบอกให้มาเซล เราก็คิดในใจ เอาแล้ว พี่บอยขายตรงแน่ ณ นาทีนั้นเราไม่เอาด้วยนะ (หัวเราะ) แต่ด้วยความเกรงใจ ก็เลยไปที่บ้านพี่บอย พอไปถึงก็ได้เจอกับ อาจารย์ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ เค้าก็ถามว่าแล้วเราคือใคร? แล้วก็เจอพี่ปุ๊ อัญชลี เค้าถามว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร? มันเลยกลายเป็นว่า เฮ้ยย คนพวกนี้อะไรกับฉันเนี่ย (หัวเราะดัง) จากนั้นพี่บอยก็ให้พระคัมภีร์ไบเบิ้ลมา เราก็เอามาอ่านดู แต่ก็ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก อีกอย่างหนังสือมันก็เล่มใหญ่โต แล้วเราก็ไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่ไหน หลังจากนั้นผ่านไปก็ใช้ชีวิตปกติ ก็เริ่มมีความคิดที่จะหาหนทางแห่งความสงบอีก ก็เลยคิดถึงไบเบิลที่พี่บอยให้มา แล้วด้วยความที่เล่มมันใหญ่มากอย่างที่บอก ก็เลยลองอธิษฐานอีกว่า ถ้าหากพระเจ้ามีจริง ขอให้โบอ่านแล้วรู้เรื่องด้วยเถอะ”

เหมือนแอบท้าทายนิดๆ
“ท้าเลย” ตอบสวนทันที “เราคิดในใจเลยว่าถ้าไม่จริง เราก็ไปเลย บ๊ายบาย ด้วยความที่โบเป็นคนมั่นใจในตัวเองมาก แล้วถ้าหากอ่านไปแล้วรู้สึกว่าเพ้อเจ้อ งมงาย โบพร้อมเททันที แถมจะด่าให้อีกต่างหาก คือโบเป็นคนแบบนี้ รู้ตัวเลย ปากไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย (หัวเราะดัง)”

ผลลัพธ์ที่ได้คือ
“คือโบรู้สึกว่าพระเจ้าเปิดเผยกับโบอย่างแท้จริง เพราะโบอ่านหนังสือที่เล่มหนามากๆ แล้ว… คือโดยส่วนตัวนะ คนอื่นยังไงโบไม่รู้ คืออ่านหนังสือเล่มหนาๆ ได้จบภายในไม่เกินสองเดือน แล้วแปลกที่โบเข้าใจมัน คือมันเห็นเป็นภาพ เรารู้สึกด้วยตัวเองว่า พระเจ้ามีจริง แต่เราไม่อยากไปโบสถ์ (หัวเราะ…)

ทำไมล่ะ
“คือเรารู้สึกว่าการไปโบสถ์มันดูเป็นสังคม เราไม่ค่อยชอบ เราเจอคนมาเยอะแล้ว เราเหนื่อย”

แต่หลังจากนั้นก็เห็นคุณเข้าโบสถ์บ่อย
“มีอยู่วันหนึ่งพี่เมธวิน อังคทะวานิช (อดีตนักร้อง และพิธีกรชื่อดัง) เค้ามาเป็นพิธีกรที่โบสถ์แถวๆ สุขุมวิท มาชวนเราไปโบสถ์ แต่พี่เค้าบอกว่ามันไม่ใช่โบสถ์นะ เป็นที่ๆ เราจัดงานกัน เราก็ไป พอไปถึงก็คิดในใน ไหน (วะ) โบสถ์ เหมือนร้านอาหารธรรมดาๆ ทั่วไป มันไม่ใช่โบสถ์แบบที่เราคิด มันก็เลยทำให้เรารีแลกซ์ขึ้น แล้วเค้าก็มีเล่นเกมที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิล เราก็ออกไปเล่น ซึ่งเอาจริงๆ แล้วมันเป็นคำถามที่โบไม่น่าจะตอบได้ แต่โบดันตอบได้ คราวนี้ก็เลยมีแมวมองที่โบสถ์เดินเข้ามาถามว่า ทำไมถึงรู้ เชื่อในพระเจ้าเหรอ อธิษฐานกันมั้ย ซึ่งตอนนั้นก็ยังบอกไปนะว่าเราเชื่อ แต่เราคงไม่ได้มาบ่อยๆ นะ แต่พอมาวันนึงโบได้อ่านเกี่ยวกับเรื่องของพระกาย มันทำให้เราคิดว่าเราไม่ต้องไปคิดว่าเราเป็นใคร เราเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ คือมันทำให้เราพบว่า สิ่งที่เรามองตัวเองอยู่ทุกวัน มันเกินไปจากสิ่งที่เราเป็น ก็เลยเริ่มไปโบสถ์บ่อยขึ้นนับแต่นั้นมา”

“เราคิดว่าเราไม่ต้องไปคิดว่าเราเป็นใคร เราเป็นเพียงแค่มนุษย์ตัวเล็กๆ คือมันทำให้เราพบว่า สิ่งที่เรามองตัวเองอยู่ทุกวัน มันเกินไปจากสิ่งที่เราเป็น ก็เลยเริ่มไปโบสถ์บ่อยขึ้นนับแต่นั้นมา”

ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เคยถามพี่บอยหรือไม่ว่า เห็นอะไรในตัวคุณโบถึงชวนไปโบสถ์?
“เค้าบอกโบว่า เอาจริงๆ แล้วโบคือคนที่ผมไม่คิดเลยว่าผมจะชวน ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมผมถึงโทรหา คือโบเคยทำบ้านพี่บอยเละ เคยไปเมาแล้วทำให้ห้องน้ำพี่บอยเละไปหมด พี่เค้าบอกว่าไม่เคยมีใครทำให้บ้านพี่เป็นแบบนี้ได้ เค้าก็บอกว่าคงเป็นเพราะพระเจ้านำทางให้เค้าโทรมา ประมาณนี้ (หัวเราะ)

ยกตัวอย่างให้ฟังถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรมหลังจากนั้น
“ตอนนั้นเป็นช่วงที่โบกำลังออกอัลบั้มเดี่ยว ..(นิ่งคิดเล็กน้อย) จริงๆ อันนี้โบก็ว่าเราไม่ถูกนะ เราก็ขอเค้าไปว่าโบขอไม่รับงานตามผับนะ เพราะโบรู้สึกว่าโบมาร้องเพลงในโบสถ์แล้ว โบไม่อยากร้องเพลงในผับ มันเป็นความเชื่อที่อ่อนน้อยของเราในตอนนั้นมากกว่า ตอนนั้นอยากจะมาแต่โบสถ์ ไม่ค่อยอยากทำอะไรเท่าไหร่ แล้วตอนนั้นพึ่งเลิกกับแฟนก็จะแบบว่าฮ็อตมาก ถ้ายังจำข่าวในช่วงนั้นได้ ซึ่งเราก็อยากจะมีแฟนเป็นคริสเตียนด้วยนะ อยากชวนกันมาโบสถ์ แต่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เป็นผล ทุกคนก็จะคิดว่า อีนี่เพี้ยน (หัวเราะ) จนผ่านมาประมาณ 7-8 ปี ก็มาเจอกับแฟนคนนี้

เจอกันได้อย่างไร
“ตอนนั้นเจอกันตามงาน เค้าเป็นแบ็กสเตจ ตอนนั้นเราอายุประมาณ 26 ก็คุยแบบเป็นเพื่อนกันมาห่างๆ จนมีวันหนึ่งต้องทำงานร่วมกันที่โบสถ์แล้วเค้ามาเล่นกีต้าร์ให้ ส่วนเราเป็นคนร้อง แล้วเราเป็นคนชอบนักดนตรี ชอบคนเล่นกีต้าร์ ก็เลยมีโอกาสได้คุยกันแบบเป็นส่วนตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน แล้วก็จะพยายามไม่ทำอะไรที่แบบว่าลับหลังสายตาคน เพราะโบคิดว่าหลังจากที่ใช้ชีวิตในโบสถ์แล้วโบถือว่าต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับคนอื่น อีกอย่างช่วงหลังโบค่อนข้างจะ Conservative นิดนึง จนมีอยู่ช่วงนึงเค้าประสบอุบัติเหตุแล้วหายไปจากชีวิตโบ เราก็เลยแบบว่า หายไปไหน เริ่มคิดถึงเค้า แล้วก็เลยรู้สึกเลยว่าเค้าคงเป็นคนพิเศษของโบแล้วล่ะ ก็เลยตัดสินใจคบกัน ซึ่งโบค่อนข้างจะจริงจังว่า โอเคเรามาคุยกันว่าเป้าหมายของชีวิตเราคืออะไร คือโบไม่อยากมีลูกนะ แล้วเค้าก็ไม่อยากมีลูกเหมือนกัน มันเลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างตรงกัน เราจึงตัดสินใจไปคุยกับคุณพ่อของเค้าว่าเราจะเป็นแฟนกัน

ฟังดูรู้สึกย้อนแย้งกับชีวิตที่ผ่านมาของคุณมาก
“ใช่ มากๆ เลย แต่อย่างที่บอกแหล่ะ ด้วยความที่โบมาอยู่ตรงนี้แล้ว โบคิดว่าโบต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับผู้คน โอเคเราอาจจะเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ โบก็ไม่คิดว่าจะไปเปลี่ยนแปลงชีวิตใครด้วย แล้วเราก็ไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่ถ้าหากมีคนมาปรึกษาว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร โบก็จะมีหลักการแบบนี้ และจะทำแบบนี้”

เคยไปชวนใครมาเข้าโบสถ์ แล้วเค้าไม่เชื่อเราบ้างมั้ย
“ต้องบอกก่อนว่าถ้าโบไม่สนิท โบจะไม่ชวน เอางี้ดีกว่า เราว่ามันดีกับคุณนะ แต่ส่วนมากถ้าเป็นเพื่อนกับโบจริงๆ เค้าจะเห็นว่าเราไปโบสถ์อยู่บ่อยๆ แล้วก็เลยอยากลองดูซะมากกว่า เพราะโบไปเกือบทุกที่นะ นอกจากโบสถ์แล้วยังไปทำความดีในหลายๆ ที่ ทั้งบ้านเด็กกำพร้า หรือสถานที่ไหนที่พอจะทำกิจกรรมในการช่วยเหลือผู้คนได้โบไปหมด ซึ่งทั้งหมดนี้มันไม่ได้เป็นอะไรที่เลวร้าย หรือชวนกันไปในทางที่ไม่ดี เพื่อนโบที่สนิทกันมากันหมดเลย มารู้จักกับพระเจ้า แล้วเค้าก็พบว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในแบบของเค้า ทั้งหน้าที่การงาน

ตอนนี้เป็นรองผ.อ.ที่ Babtist Student Center มีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
“ทำทุกอย่างเลยค่ะ (หัวเราะ) ทำตั้งแต่เก็บกวาด แต่ด้วยความที่เราทำหลายอย่างมากเลย เราก็เลยบอกกับอาจารย์ไว้ก่อนว่ามันจะมีบางวันที่เราไม่สามารถเข้ามาทำงานที่นี่ได้ หรือบางวันเราอาจต้องตื่นสาย ซึ่งทุกวันนี้มันทำให้โบมีความรับผิดชอบขึ้นมาก จากเมื่อก่อนตื่นสาย นอนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ต้องคอยคิดว่าเราต้องทำงานอะไร มีใครมาคอยเราอยู่หรือเปล่า เราต้องไปถึงก่อนเวลานะ เราเปลี่ยนไปมากเลย… พระเจ้าทำให้เราเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้

*Babtist Student Center (BSC) สถาบันสอนภาษาตั้งอยู่ตรงสี่แยกพญาไท เปิดทำการสอนทั้งภาษาไทย อังกฤษ เกาหลี จีน และ ญี่ปุ่น

จากการที่ได้มาทำงานที่นี่ มีอะไรที่อยากทำแล้วยังไม่ได้ทำบ้าง
“คือด้วยความที่โบจบทางด้านโฆษณามา ก็เลยอยากเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่างที่ตอนแรกโบเข้ามาแล้วรู้สึกว่า มันเก่ามากกก (หัวเราะ) แต่พอเข้ามาทำจริงๆ แล้วก็พบว่า หลายๆ อย่างมันก็มีเหตุผลของมันอยู่ เราก็เลยทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็แอบแปลกใจว่าด้วยความที่เก็บค่าเรียนเท่านี้ แต่ก็ยังสามารถอยู่มาได้ทุกวันนี้ (หัวเราะ) อาจเป็นเพราะพระเจ้าเป็นผู้ตั้งสถานที่นี้ไว้ แต่อย่างไรก็ตามโบต้องนับถือใจของผู้ที่มาสอนภาษาอังกฤษที่นี่ที่ส่วนใหญ่เขาจะเต็มใจมาสอนโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ ส่วนงานหลักของโบก็จะเป็นในส่วนของการเล่าเรื่องพระเจ้าทุกๆ วันศุกร์”

ฟังมาทั้งหมดนี้คุณโบทำอะไรหลายอย่างมากเลย ที่สุดแล้วฐานะไหนน่าจะเป็นตัวตนของคุณมากที่สุด
“ถ้าในแง่ที่ว่าสถานที่ไหนคือ Comfort zone ของโบมากที่สุด โบคิดว่าน่าจะเป็นที่นี่แหล่ะ (BSC) เพราะในนาทีนี้มันคือตัวตนของโบมากที่สุด อย่างไปคอนเสิร์ตหน้าที่ของโบก็คือการทำให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งมันก็เป็นหน้าที่ของเราอยู่แล้ว แต่บางทีการที่โบต้องออกไปเต้น ไปแต่งตัวสวยๆ มันก็ทำให้โบเหนื่อยเหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจจะชอบ แต่ถ้าถามตอนนี้ว่ายังเป็นอย่างนั้นอยู่มั้ย ก็ต้องบอกว่าไม่ (หัวเราะ)

ณ ตอนนี้ถ้าให้มองย้อนกลับไปเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรในวงการเพลงบ้าง
“ส่วนตัวมองว่าวงการเพลงมันดรอปไปเยอะเหมือนกันนะ โบคิดว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องของแพล็ตฟอร์มในการฟังเพลงมากกว่า แต่ความสามารถของคนดีขึ้นมากเลย โบเห็นศิลปินรุ่นใหม่ๆ หลายคนแล้วทำให้โบตาค้างเลยนะ ทำไมเค้าเก่งกันจังเลยอ่ะ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งนะว่าโบมาได้เพราะโอกาสล้วนๆ เลย เพราะโบไม่ได้เป็นคนร้องเพลงดี เล่นดนตรีไม่ได้ เต้นไม่เก่ง แถมหน้าตาก็ไม่ได้ดีแบบทั่วๆ ไป หมวยๆ คนนึง แต่โบมีโอกาสที่ได้ทำ แล้วมันเป็นอะไรที่โบสนุกกับมันมากๆ ตอนนั้นทำงานกับจอยซ์สำหรับโบมันเป็นอะไรที่สนุกมากจนไม่รู้สึกว่ามันคืองานเลย เหมือนไปอยู่กับเพื่อน ไปเล่น ความรู้สึกมันก็เลยเหมือนผ่านไปรวดเร็ว แต่นักดนตรีสมัยนี้รู้สึกมันยาก ต้องมีรูปแบบ ต้องฝึกซ้อม ต้องมานั่งคิดกันว่าจะโปรโมทยังไง แต่งตัวแบบไหน ซึ่งสมัยโบมันไม่มีอะไรพวกนี้เลย อย่างของโบออกมาเป็นอัลบั้มซัดไปเลย 9 เพลง 10 เพลง แต่เดี๋ยวนี้กว่าจะออกได้แต่ละซิงเกิ้ลก็ยากมาก”

ยังมีทัวร์คอนเสิร์ตในนาม Triumphs Kingdom อยู่หรือไม่
“มีค่ะ คือโบไม่รับงานร้องเพลงคนเดียวอยู่แล้ว โบคิดว่ามันไม่จำเป็น จริงๆ โบก็ไม่อยากจะรับงานด้วยนะ แต่ว่าจอยซ์บอกว่ายังอยากรับอยู่ ก็โอเค เพื่อเพื่อน”

ชวนจอยซ์มาโบสถ์บ้างมั้ย
“ชวน (หัวเราะ) เค้าก็มานะ แต่เค้าก็ยังมีบางอย่างที่ยังปลดไม่ได้ ก็เป็นส่วนของเค้าไป โบก็จะแบบอยากไปไหนบอก อยากได้อะไรเดี๋ยวจัดให้”

เคยไปทัวร์คอนเสิร์ตในนาม Triumphs Kingdom แล้วเด็กรุ่นใหม่ไม่เข้าใจ หรือไม่รู้จักพวกคุณบ้างหรือไม่
“ด้วยความที่โบไม่ได้รับทุกงานอยู่แล้ว ซึ่งแต่ละงานที่รับมาก็จะกรองในระดับหนึ่งก่อนเสมอ ก็เลยไม่ค่อยมีปัญหาอะไรแบบนี้ แต่ก็มีบางครั้งที่ตลกมาก อย่างเคยไปดูคอนเสิร์ตของแสตมป์ แล้วแสตมป์เค้าเล่นเพลงผ้าเช็ดหน้า ทุกๆ คนก็ช่วยกันร้อง เราอยู่ข้างๆ เราก็คิดว่า เออ ดีนะ น้องๆ มัธยมยังรู้จักเพลงเรา ช่วยกันร้องได้ด้วย น่ารักดี แล้วพอแสตมป์เห็นเราอยู่หน้าเวทีเค้าก็เลยลงมาจูงมือเราขึ้นไปร้อง เด็กๆ เค้าก็ทำท่าเหวอ คนนี้ใคร (หัวเราะดัง) คิดดูยืนอยู่ติดกันตั้งนานน้องเค้าถาม พี่ร้องเพลงนี้เหรอ ก็ตลกดี น้องๆ พวกนี้เค้ารุ่นหลานแล้ว (หัวเราะ)

Triumphs Kingdom จะยังมีอัลบั้มใหม่หลังจากนี้หรือไม่
“ไม่มีค่ะ (หัวเราะ) คือโบไม่คิดว่าจะอยู่ในวงการเพลงต่อไปอีกแล้วในอนาคต แต่ถ้ามีแบบรับเป็นจ๊อบๆ เป็นงานคอนเสิร์ต หรือถ้าพี่บอยอยากทำเพลงอะไรที่มันเหมาะกับเราสองคน อันนี้ได้ แต่ถ้าเป็นแบบทำอัลบั้ม ไปออกทัวร์ทั่วประเทศ น่าจะไม่มีภาพนั้นแน่นอนแล้วค่ะ”

คำตอบนี้ทำให้แฟนเพลงเสียใจมากเลยนะ
“คือโบว่าแฟนเพลงโบมีลูกกันหมดแล้วล่ะค่ะ (หัวเราะ) จริงๆ แฟนเพลงโบที่ยังติดตามโบอยู่ก็ยังมีนะ มาหาที่นี่ ไม่ได้เป็นคริสเตียนด้วยนะ ซื้อขนมมาฝาก อะไรแบบนี้”

อีกสถานภาพหนึ่งของคุณคือการเป็นภรรยา อยากทราบว่าคุณเป็นภรรยาสไตล์ไหน
“คือโบคิดว่าตัวเองโชคดีที่สามีโบเค้าเป็นคนที่เข้าใจหลายๆ อย่าง ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิงก็จะมีมุมอ่อนแอหลายๆ อย่าง เช่นเรื่องฮอร์โมน เรื่องอีโมชั่นในบางวัน รวมทั้งความอ่อนแอทางด้านร่างกาย และด้วยความที่เค้าทำงานเป็นวิศวกร เค้าก็เลยมีตรรกะความคิดอะไรหลายๆ อย่างซึ่งโบไม่มีเลย อารมณ์ล้วนๆ เมื่อก่อนโบเป็นคนเหวี่ยงนะ แต่เดี๋ยวนี้โบจะเป็นแค่กับสามีโบ แต่เค้าก็จะคอยบอกอันนี้ไม่ใช่ คอยให้ข้อมูลต่างๆ กับโบ อย่างเช่นถ้าเกิดโบไปเห็นคนทะเลาะกันแล้วเล่าให้เค้าฟัง เค้าก็จะบอกว่า โบลองแบบนี้สิ อย่าไปมองว่าเค้าทะเลาะกันเรื่องอะไร ให้มองว่าสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์จะกลับมาดีได้อย่างไรดีกว่า

สุดท้าย หากมีใครสักคนมาข้อคำปรึกษาจากคุณ เมื่อยามต้องเจอกับปัญหาบางอย่างในชีวิต จะมีวิธีแนะนำการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นอย่างไร
“อย่างแรกในฐานะที่โบเชื่อในพระเจ้า อยากแนะนำให้คุณลองอธิษฐานกับพระเจ้า ถ้าถึงขนาดที่ว่าไม่มีจะกินเลย ให้เดินมาหาโบที่นี่ได้เลย โบหาอาหารให้คุณกินได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องปัญหา อุปสรรคที่เจอ เชื่อเถอะไม่ว่าคุณจะร่ำรวย หรือยากจน หรือจะเป็นใครก็แล้วแต่ ทุกคนล้วนแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด ถ้ามันไม่มีทางออก ก็เดินกลับไปทางเดิม ก็แค่นั้นเอง อย่างของโบด้วยความที่เชื่อในพระเจ้าจึงทำให้โบมีความหวังกับบางอย่างอยู่เสมอ”

เชื่อเถอะไม่ว่าคุณจะร่ำรวย หรือยากจน หรือจะเป็นใครก็แล้วแต่ ทุกคนล้วนแต่มีปัญหาด้วยกันทั้งหมด ถ้ามันไม่มีทางออก ก็เดินกลับไปทางเดิม ก็แค่นั้นเอง

 

http://www.favforward.com/35262/talk-about/zeal-15-years-new-single/

http://www.favforward.com/34393/talk-about/interview-fungjai/

http://www.favforward.com/32229/talk-about/design-life/

 

keyboard_arrow_up