Interview : บู้ Slur & Rompboy – Passion คือแสงไฟนำทางให้เรา

Interview : บู้ Slur & Rompboy – Passion คือแสงไฟนำทางให้เรา

Who : Fav with talk บู้ Slur & Rompboy – Passion คือแสงไฟนำทางให้เรา

หลังจากได้นั่งคุยกันแล้วเราเห็นเลยว่า “บู้ – ธนันต์ บุญญธนาภิวัฒน์” คือ “นักคิด” คนหนึ่งซึ่งมี “วิธีคิด” น่าสนใจ ทั้งเรื่องการทำงาน และการใช้ชีวิต

หลายคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า บู้ คือมือเบสของวง Slur และเจ้าของแบรนด์เครื่องแต่งกาย Rompboy ที่กำลังฮ็อตสุดๆ ในแวดวงสตรีทแวร์ตอนนี้

แต่เชื่อเถอะ คงมีไม่มากนักที่จะรู้ว่าตลอดเส้นทางของเขาต้องเจอกับอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ทั้งคำดูถูก การสร้างตัวตนของคนธรรมดาๆ คนหนึ่งซึ่งใฝ่ฝันอยากทำแบรนด์ของตัวเอง รวมไปถึงความเขี้ยวของคู่แข่งขันทางด้านธุรกิจ ที่ฟังดูแล้วหนักหนาทีเดียว

แต่ บู้ ก็ผ่านมันมาได้ ด้วยวิธีคิดที่ว่า ปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาคือความสนุก ทั้งยังได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากปัญหาต่างๆ ไว้สำหรับวันต่อไป

ที่สำคัญอุปสรรคต่างๆ เหล่านั้นยังถูกแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นที่มีมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

“ผมไม่ท้อเลย มันเหมือนกับ Passion ที่ผมมีอยู่มันทำลายอุปสรรคทุกอย่างหมดเลย มันทำลายความเหนื่อย ความเครียด… ผมรู้สึกว่าเราอยากทำแล้วเราก็ลุยโดยที่ไม่ได้มองไปที่ปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ทุกอย่างมันกลายเป็นความสนุกไปหมด ผมว่าถ้าเราอยากจะทำอะไรสักอย่างจริงๆ ที่เราชอบ และถ้าเรามี passion แล้วมันก็จะเป็นเหมือนแสงไฟส่องนำทางให้เรา” บู้ เล่าด้วยแววตาที่เราดูแล้วรู้สึกได้ว่าเขาคิดแบบนั้นจริงๆ

เรียกว่าทางลัดไม่มี มีแต่ทางตรงให้เดินตามเส้นทางที่วาดหวังไว้ ความสำเร็จคงไม่ไกล

อย่างรองเท้าคอลเลคชั่นล่าสุดของเขาที่ Collaboration กับ Kraftka และ Wisut Pornnimit ในธีม Love Elevetor ขายเกลี้ยงเพียงชั่วข้ามคืน และกลายเป็น Rare item ไปอย่างรวดเร็ว

ส่วนราคานั้นถูกปั่นเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าโดยเหล่า Re seller ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน เราถามบู้ถึงประเด็นนี้ว่าตัวเขาเองมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร

“ถ้าให้ตอบแบบไม่สนใจลูกค้าเลยนะ (นิ่งคิดสักอึดใจ) ในแง่ของคนซื้อ คือส่วนตัวผมเองก็เป็นคนที่ซื้อรองเท้าจาก Re seller บ้าง เรารู้สึกว่าไม่ได้แอนตี้ แต่มันขึ้นอยู่กับความพอใจของคนซื้อมากกว่าว่า ถ้าคุณเห็นคุณค่า คุณก็ซื้อมันไปเหอะ ถึงแม้ว่าใครจะมองว่าไร้สาระ แพง แต่ถ้ามองในแง่ของคนทำ (รองเท้า) ผมคิดว่า… รีเซลแม่งไม่ดีนะ แม่งไม่ดีเลย คือมันทำให้คนที่ได้รองเท้าเราไป ไม่ใช่คนที่รักรองเท้าเราจริงๆ อย่างล็อตของพี่ตั้มเนี่ย (Rompboy Love Elevetor) รีเซลราคามันกระโดดไปหลายเท่ามาก ซึ่งจริงๆ แล้วผมไม่โอเคตรงที่ว่า ทำไมรองเท้าของผมไม่ได้ไปอยู่กับคนที่รักผมจริงๆ เคยมีเพื่อนๆ ของผมที่สนิทจริงๆ พยายามอินบ็อกซ์มาขอซื้อนะ ผมบอกเลยเฮ้ยไม่ได้ อันนี้ต้องไปต่อแถวจริงๆ ผมไม่อยากให้สิทธิพิเศษกับคนรอบข้างผม อยากให้ทุกๆ คนเท่าเทียมกันมากกว่า แล้วกลายเป็นว่าหลายๆ คนที่อยากได้จริงๆ พลาดไป ส่วนคนที่ได้ไปกลับเป็นพ่อค้าซะส่วนมาก…”

ส่วนตัวเคยไปโดน Re seller โหดๆ บ้างมั๊ย
เคยครับ ที่โหดสุดก็น่าจะเป็น Yeezy ราคาประมาณสามหมื่นกว่าบาท

เท่าที่เห็นสไตล์การแต่งตัวของคุณโดยเฉพาะรองเท้าที่ออกแนววินเทจหน่อยๆ อยู่เสมอ ไม่ทราบว่าแล้วอย่างพวกโมเดิร์นนี่ใส่บ้างมั๊ย
เอาจริงๆ ผมใส่หมดนะ แต่อย่างรองเท้าที่ผมซื้อประมาณ 80 เปอร์เซ็นเป็นวินเทจ แต่โมเดิร์นก็ซื้อครับ ซื้อเพื่ออยากจะรู้ว่าเฮ้ย มันดียังไง มันใส่สบายยังไง มีนวัตกรรมใหม่ๆ ยังไงบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วผมบอกเลยรองเท้าแพงไปก็เท่านั้น ไม่ได้ดีอะไรหรือใส่สบายตรงไหนด้วย แต่สุดท้ายแล้วอยู่ที่คนชอบมากกว่า

กลับมาที่โปรเจกต์ล่าสุดของ Rompboy ที่เป็นการ Collab กันระหว่าง Kraftka และ Wisut Pornnimit อยากให้ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ย้อนกลับไปช่วงประมาณปีที่แล้ว ช่วงเดือนมีนาคม ผมกำลังจะออกรองเท้าลายใหม่ ซึ่งทาง Kraftka ยังไม่ได้เห็นลายรองเท้าตรงนี้ด้วย พอดีทางเค้าอยากจะ Collab กับเรา แล้วเล่าให้ฟังว่าเป็นโครงการแบบเอาอาร์ทติสจากทั่วโลกมาเจอกับโปรดักส์ไทยอะไรก็ได้ อาจจะเป็นร่ม หมวก เป็นโต๊ะก็ได้ เก้าอี้ก็ได้ อะไรก็ได้หมดเลย แต่เค้าเลือก Rompboy เพราะเค้ามองว่าตอนนี้วัยรุ่นค่อนข้างจะชอบกันเยอะ ซึ่งผมก็คิดว่าถ้าเลือกที่จะเอากลุ่มของเราผมก็เลยคิดถึงพี่ตั้มก่อนเลย แล้วเราให้เกียรติพี่ตั้มโดยการใช้ตัวเลข 158 นั่นคือ วันที่ 15 เดือน 8 คือวันเกิดพี่ตั้ม มาใช้เป็นจำนวนในการผลิตรองเท้าทั้งหมด แล้วลิงก์ไปที่คอนเซ็ปต์ของหนังสือการ์ตูนเล่มนึงของพี่ตั้มแล้วให้มันสเปเชี่ยลไปเลยด้วยการผลิตทั้ง 158 คู่ให้ลายของแต่ละคู่ไม่เหมือนกันไปเลย แล้วทุกคู่จะต้องตีตัวเลขเพื่อที่จะให้แต่ละคู่มีคู่เดียวจริงๆ

แล้วไปทำยังไงให้คุณตั้มมาจอยในโปรเจกต์นี้ได้
คือ… พี่ตั้มง่ายมากเลย ผมโทรหาแกแล้วบอกว่า พี่ผมทำรองเท้าอยู่แบรนด์นึงนะครับ เป็นแบรนด์เล็กๆ ผมอยากชวนพี่มาจอยด้วย แกบอก เออ เอาสิ เอาเลย แค่นี้จบ (หัวเราะแล้วเล่าต่อ) อาจเป็นเพราะด้วยความที่รู้จักกันอยู่แล้วด้วยครับ ก็เลยคุยกันง่าย

แล้วในแง่ของคุณบู้เอง ทำไมต้องเป็นการ์ตูนของคุณตั้มเท่านั้นในโปรเจกต์นี้
จริงๆ ผมคิดว่าถ้าเป็นการ์ตูนของพี่ตั้มน่าจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับคนในวงกว้างได้ด้วย แล้วผมมองออกเลยว่าถ้าตัวการ์ตูนของพี่ตั้มมาอยู่บนรองเท้าของผมแล้ว ต้องวางเป็นประมาณไหน ก็เลยเกิดเป็น Concept Love Elevator ขึ้นมา

ฟีดแบ็กเป็นไงบ้างสำหรับ 158 คู่ที่ว่านี้
จริงๆ แล้วมันเกิด Error เพราะว่ารองเท้ามันผลิตมาแล้วเลิกทำไปเลย แล้วเราผลิตแค่ร้อยหกสิบกว่าคู่นี่รวมกันพลาดด้วยนะ แต่กลายเป็นว่าโปรเซสในการพิมพ์มันมีปัญหา เลยขายจริงๆ ได้แค่ 99 คู่ ซึ่ง 99 คู่นี้ตอนวางขายที่คานิวัล สยามตอนวันเสาร์ แล้วคนมาต่อคิวกันตั้งแต่คืนวันศุกร์ซึ่งคิวเต็มตั้งแต่เที่ยงคืนวันนั้นแล้ว คือจบเลย คนก็มาแคมป์กัน แล้วก็รอซื้อ

ความรู้สึกของคนที่ทำรองเท้าขายแล้วเห็นคนมารอซื้อกันข้ามคืนแบบนั้น
ผมดีใจนะ จริงๆ แล้วรองเท้าของผมเกือบทุกล็อตจะมีคนมาต่อแถวซื้อ แต่ล็อตนี้มันมีคนมาแคมป์เลย

เมื่อสักคู่บอกว่าได้รองเท้าล็อตนี้จากการผลิตมาแค่ 99 คู่ แล้วที่เหลือล่ะ
ทิ้ง …เอาจริงๆ เก็บไว้หลังบ้าน แต่ก็ทำไรไม่ได้

แต่บางคนอาจจะอยากได้
บางคนอยากได้ครับ จริงๆ มีการแอบให้ญาติพี่น้องไปบ้างนิดหน่อย แต่ผมปฏิญาณกับตัวเองไว้เลยว่า จะไม่มีการขายเกิดขึ้นกับล็อตที่มีตำหนิเหล่านี้เด็ดขาด ซึ่งจริงๆ แล้วต้องบอกก่อนว่ามีตำหนิกับแฮนด์เมดคนล่ะเรื่องกันเลย

 
คุณเป็นคนที่ทำอะไรมาหลายอย่างมากเลย ทั้งเป็นศิลปิน มีแบรนด์เป็นของตัวเอง แถมยังประสบความสำเร็จอีกด้วย ที่นี้ยังมีอะไรอีกมั๊ยที่คุณอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ?
ผมกำลังทำโปรเจกต์… สุดยอดโปรเจกต์ที่ผมอยากทำตั้งแต่ก่อน Rompboy จะออกด้วยซ้ำ นั่นคือ รองเท้านักเรียน ผมเก็บความลับนี้ไว้นานมากแล้ว จริงๆ นี่คือที่แรกเลยนะที่ผมบอก ผมคิดว่าผมอยากจะให้อะไรกับวงการยูนิฟอร์ม (นักเรียน) ไทย จริงๆ ผมไม่ได้ดูถูกนะ แต่ผมคิดว่าชุดนักเรียนไทยมันยังไม่สวยพอ ใส่กันเพียงเพราะว่ามันต้องใส่ ซึ่งผมคิดว่ามันยังไม่สวย แต่ผมอยากจะเริ่มที่รองเท้าก่อนเลย ผมว่าที่ใส่ๆ กันอยู่เนี่ย (นิ่งคิดก่อนพูดต่อ) มันเฉยๆ มันมีมานานแล้ว ผมคิดว่ามันถึงเวลาที่มันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วกับวงการนี้

เราน่าจะได้เห็นกันประมาณเมื่อไหร่
น่าจะเป็นช่วงเปิดเทอมนี้ ประมาณเดือนเมษายน

เด็กๆ น่าจะได้ใส่กันทั่วประเทศหรือเปล่า หรือเริ่มเฉพาะแค่ในกรุงเทพฯ ก่อน
ได้ใส่ทั่วประเทศแน่นอนครับ อันนี้บอกเลยว่าผลิตจำนวนมากแน่นอน ซึ่งผมใช้ชื่อว่า Rompboy School ส่วนราคานี่บอกได้เลยว่าจับต้องได้ มีนวัตกรรมในตัว มีความนุ่ม ใส่เตะบอลได้ ใส่กับชุดอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องเป็นชุดนักเรียนเท่านั้น ใส่แล้วผมว่าสาวเหลียวอ่ะ มีตบกันในโรงเรียน (หัวเราะลั่นวง) สวยงามแน่นอน

คุยกับคุณแล้วรู้สึกได้ถึงไฟบางอย่างในตัวคุณที่ดูลุกโชนอยู่ตลอดเวลา มาเต็มทั้งความเป็น Creative แถมยังมี Passion ในตัวเองอย่างมากอีกด้วย ทั้งหมดที่ว่ามานี้ คุณได้มันมายังไง
ผมว่าถ้าคิดย้อนไปถึงตั้งแต่ตอนเด็กๆ คือที่บ้านผมไม่เคยล้อมกรอบผมเลย ผมอยากเรียนดนตรีตั้งแต่ตอนป.2 คุณครูมาที่บ้านแล้วนะ แต่นิ้วมันไม่ถึง นิ้วมันสั้น (หัวเราะ) อ่ะงั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวป.4 ค่อนเรียนใหม่ แล้วป.4 ผมก็ได้เรียนกีต้าร์เป็นครั้งแรกในชีวิต อยากทำอะไรผมจะไม่เคยโดนเบรกเลย ผมได้ใช้จินตนาการของผมเต็มที่ จนถึงทุกวันนี้ไม่เคยโดนล้อมกรอบเลย ห้ามเรียนศิลปะนะลูก เรียนไปจน ไม่มีตังค์จะแดกข้าว อย่างนี้ไม่มีเลย

แล้วอย่างนี้เคยออกนอกลู่นอกทางบ้างมั๊ย
ผมว่าสุดท้ายแล้วเวลาที่ผมมีปัญหาก็จะย้อนกลับไปคุยกับที่บ้านอยู่ดี ผมว่านี่คือเรื่องที่ดี ผมเคยจะไปเข้าแก๊งค์ที่เลว แต่สักพักนึงก็จะรู้โดยทันทีเองเลยว่ามันไม่ถูกต้องก็จะกลับออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติ สำหรับเรารู้สึกว่าพอเราได้รับอิสระอย่างเต็มที่ ก็อยากจะคืนให้พ่อแม่โดยการทำสิ่งที่ดี นั่นคือการตอบแทนอย่างนึงสำหรับผม

สุดท้าย อยากให้ฝากถึงแฟนๆ ทั้งในส่วนของ Rompboy และ แฟนๆ Slur
สำหรับ Slur ปีนี้มีผลงานแน่นอน กลางๆ ปีนี้น่าจะได้ฟังซิงเกิ้ลใหม่รวมถึงอัลบั้มเต็มภายในปีนี้ ส่วน Rompboy ก็จะมี Rompboy school ที่บอกไปซึ่งจะแตกไลน์ออกมาเป็นอีกแบรนด์นึงโดยเฉพาะ แต่ Rompboy ตัวหลักก็จะยังมีแบบใหม่ออกมาอีกแน่นอนในปีนี้ ซึ่งเรามีการแก้ไขอะไรหลายๆ อย่างซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นอีกสเต็ปนึงของวงการรองเท้าในเมืองไทย ผมยังไม่บอกอะไรมากดีกว่า แต่เอาเป็นว่าปีนี้มันแน่นอน…

คลิกชมคลิป : คัดมาเน้นๆ Sneakers 5 คู่สุดโปรดของ บู้ Slur 

*ขอบคุณสถานที่สวยๆ Unfashion cafe เอกมัย ซ.10

keyboard_arrow_up